อาการเด็กออทิสติกเทียม ที่ต้องเฝ้าสังเกตุ

อาการเด็กออทิสติกเทียม ที่ต้องเฝ้าสังเกตุ

สิ่งสำคัญคือต้องชี้แจงว่าคำว่า “ออทิสติกเทียม” ไม่ใช่การวินิจฉัยทางการแพทย์หรือทางจิตที่เป็นที่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ฉันเข้าใจว่าคุณอาจหมายถึงเด็กที่แสดงอาการคล้ายกับโรคออทิสติกสเปกตรัม (ASD) แต่อาจไม่เข้าเกณฑ์สำหรับการวินิจฉัยโรคออทิสติกอย่างเป็นทางการ

เด็กที่แสดงพฤติกรรมออทิสติกเทียมอาจแสดงอาการบางอย่างต่อไปนี้

1.ความยากลำบากในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พวกเขาอาจประสบปัญหาในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมโดยทั่วไป เช่น การสบตา แบ่งปันประสบการณ์ หรือการทำความเข้าใจสัญญาณทางสังคม อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้อาจไม่เด่นชัดหรือแพร่หลายมากเท่ากับที่พบในเด็กออทิสติก

2.พฤติกรรมซ้ำๆ เช่นเดียวกับเด็กออทิสติก เด็กออทิสติกเทียมอาจมีพฤติกรรมซ้ำๆ เช่น กระพือมือ โยกตัว หรือเรียงสิ่งของต่างๆ พฤติกรรมเหล่านี้อาจใช้เป็นวิธีปลอบใจตัวเองหรือควบคุมอารมณ์ได้

3.ความท้าทายในการสื่อสาร เด็กออทิสติกเทียมอาจมีปัญหาในการใช้ภาษาและการสื่อสาร เช่น พัฒนาการพูดล่าช้าหรือการใช้ท่าทางจำกัด พวกเขาอาจมีปัญหาในการทำความเข้าใจความแตกต่างทางภาษาหรือการรักษาบทสนทนา

4.ความไวต่อประสาทสัมผัส ปัญหาทางประสาทสัมผัส เช่น ความไวต่อเสียง แสง พื้นผิว หรือกลิ่นบางอย่างมากเกินไป อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กออทิสติกและเด็กออทิสติกเทียม

5.กิจวัตรหรือพิธีกรรมที่เข้มงวด แม้ว่าจะไม่เข้มงวดเท่าที่เห็นในโรคออทิสติก แต่เด็กออทิสติกเทียมอาจชอบโครงสร้างและการคาดเดาได้ในกิจวัตรประจำวันของพวกเขา พวกเขาอาจจะอารมณ์เสียหรือวิตกกังวลเมื่อกิจวัตรของพวกเขาถูกรบกวน

6.ความสนใจอย่างเข้มข้น เช่นเดียวกับเด็กออทิสติก เด็กออทิสติกเทียมอาจพัฒนาความสนใจอย่างเข้มข้นในหัวข้อหรือวัตถุเฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม ความสนใจเหล่านี้อาจไม่แคบหรือครอบคลุมทั้งหมดเท่ากับความสนใจในกลุ่มออทิสติก

7.ความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลง เด็กออทิสติกเทียมอาจต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงระหว่างกิจกรรมหรือสภาพแวดล้อม โดยแสดงความวิตกกังวลหรือการต่อต้านเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง

สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าอาการเหล่านี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดปกติของออทิสติก ปัจจัยอื่นๆ เช่น พัฒนาการล่าช้า ความวิตกกังวล หรือปัญหาการประมวลผลทางประสาทสัมผัส อาจส่งผลต่อพฤติกรรมเหล่านี้ได้ หากคุณมีข้อกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการหรือพฤติกรรมของบุตรหลาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อรับการประเมินอย่างละเอียดและคำแนะนำที่เหมาะสม

5 หลักการพื้นฐานของความสำเร็จ

5 หลักการพื้นฐานของความสำเร็จ

ความสำเร็จเป็นแนวคิดที่มีหลายแง่มุม แต่มีหลักการพื้นฐานหลายประการที่สามารถช่วยชี้แนะบุคคลให้บรรลุเป้าหมายได้ พื้นฐาน 5 ประการของความสำเร็จ

ตั้งเป้าหมาย

ความสำเร็จมักเริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนถึงสิ่งที่คุณต้องการบรรลุ กำหนดเป้าหมายเฉพาะ วัดผลได้ บรรลุได้ เกี่ยวข้อง และมีกำหนดเวลา (SMART) กำหนดวัตถุประสงค์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทบทวนและปรับเปลี่ยนเป็นประจำตามความจำเป็น การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะให้แนวทางและแรงจูงใจ ช่วยให้คุณจดจ่ออยู่กับเส้นทางสู่ความสำเร็จ

การทำงานหนักและความพากเพียร

ความสำเร็จมักไม่เกิดขึ้นหากปราศจากความพยายามและความเพียรพยายาม ยอมรับคุณค่าของการทำงานหนัก และเต็มใจสละเวลา พลังงาน และความทุ่มเทที่จำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมายของคุณ เข้าใจว่าความพ่ายแพ้และอุปสรรคเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นความสามารถของคุณที่จะยืนหยัดเผชิญหน้ากับความท้าทายที่มักจะทำให้คนที่ประสบความสำเร็จแตกต่างออกไป อดทน เรียนรู้จากความล้มเหลว และก้าวไปข้างหน้าต่อไป

การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิตและพัฒนาตนเอง ปลูกฝังกรอบความคิดการเติบโต โดยที่คุณมองว่าความท้าทายเป็นโอกาสในการเติบโตและการเรียนรู้ มากกว่าที่จะเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ อยากรู้อยากเห็น ค้นหาความรู้และทักษะใหม่ๆ และเปิดรับข้อเสนอแนะและคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการคงความเกี่ยวข้องและบรรลุความสำเร็จในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในปัจจุบัน

ทัศนคติและทัศนคติเชิงบวก

ทัศนคติของคุณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความสำเร็จของคุณ ปลูกฝังทัศนคติและกรอบความคิดเชิงบวกที่โดดเด่นด้วยการมองโลกในแง่ดี ความยืดหยุ่น และความกตัญญู เชื่อมั่นในความสามารถของคุณและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้แทนที่จะจมอยู่กับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ ฝึกพูดเชิงบวกกับตัวเอง จินตนาการถึงความสำเร็จ และรายล้อมตัวเองด้วยบุคคลที่คอยสนับสนุนและให้กำลังใจ กรอบความคิดเชิงบวกไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจและความมั่นใจของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณเอาชนะความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

การบริหารเวลาและการจัดลำดับความสำคัญอย่างมีประสิทธิผล

เวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ดังนั้นการจัดการอย่างมีประสิทธิผลจึงเป็นสิ่งสำคัญ จัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน และจัดสรรเวลาและพลังงานของคุณตามนั้น เรียนรู้ที่จะไม่ปฏิเสธกิจกรรมหรือข้อผูกพันที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายหรือค่านิยมของคุณ และมอบหมายงานทุกครั้งที่เป็นไปได้ ใช้เครื่องมือและเทคนิคการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขั้นตอนการทำงานของคุณและลดสิ่งรบกวนให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิผล คุณจะสามารถเพิ่มผลิตภาพสูงสุดและสร้างความก้าวหน้าที่สำคัญไปสู่เป้าหมายของคุณได้

คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและเติมเต็มในด้านต่างๆ ของชีวิตส่วนตัวและอาชีพของคุณได้โดยการรวมหลักการเหล่านี้เข้ากับชีวิตและความพยายามของคุณ โปรดจำไว้ว่าความสำเร็จคือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ดังนั้นจงมุ่งมั่นที่จะเติบโตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกัน

เสริมมงคลของ 7 วันเกิด มีไว้บูชาแล้วเสริมความปัง

เสริมมงคลของ 7 วันเกิด มีไว้บูชาแล้วเสริมความปัง

เครื่องรางของขลังเป็นเรื่องของความเชื่อว่าหากบูชาแล้วจะส่งเสริมในด้านต่าง ๆ หลายคนจึงเลือกมีไว้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจและยิ่งใครที่มีความศรัทธา มักเกิดพลังขึ้นภายในจิตใจจะส่งผลดีต่อตัวเอง นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมบางคนคลั่งไคล้หลงใหล จนเลือกให้เป็นของสะสมที่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่เพื่อเป็นการส่งเสริมพลังอำนาจมากยิ่งขึ้นควรเลือกบูชาให้ตรงตามวันเกิดจึงจะดี ไปดูกันว่าแต่ละวันเหมาะกับของสิ่งใดบ้าง

 

  • วันอาทิตย์ เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังอย่างพระยาครุฑหรือรูปปั้นสิงห์ ช่วยส่งเสริมพลังอำนาจบารมี ใครที่มีบริวารหรือเป็นหัวหน้า เจ้าของธุรกิจควรบูชาเพื่อเสริมพลังความเป็นผู้นำ อีกทั้งยังช่วยป้องกันภูตผีปีศาจและภัยร้ายไม่ให้เข้ามากล้ำกราย รอดพ้นจากภัยต่าง ๆ

 

  • คนเกิดวันจันทร์ เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังที่มีลักษณะเป็นเสือหรือเสือคาบดาบ ช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามากล้ำกลาย

 

  • คนเกิดวันอังคาร เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังที่มีลักษณะเป็นเสือรูป ช่วยส่งเสริมให้ตัวผู้บูชามีพลังอำนาจ ดุดันเหมือนดั่งเสือ อีกทั้งพกติดตัวแล้วจะทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย สามารถนำไปวางไว้บนรถได้เช่นกัน เพื่อให้เดินทางราบรื่น


  • คนเกิดวันพุธ (กลางวัน) เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังที่มีลักษณะรูปนกหรือปลา สำหรับนกเป็นสัญลักษณ์แห่งความอิสระ ความสุข สง่าและสูงส่งหากบูชาจะเสริมในเรื่องอำนาจ ความยิ่งใหญ่ หากเป็นปลาจะส่งเสริมในเรื่องโชคลาภ เงินทอง จึงจะเห็นว่าร้านค้าหรือคนที่ทำกิจการใดก็ตามมักมีสิ่งนี้วางไว้ เพื่อเป็นมงคล

 

  • คนเกิดวันพุธ (กลางคืน) เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังพญาครุฑหรือพระราหู มีพลังในการช่วยให้ทำมาค้าขายรุ่งเรืองและช่วยล้างคุณไสย รวมไปถึงอาถรรพ์ต่าง ๆ 

 

  • คนเกิดวันพฤหัสบดี เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังที่มีลักษณะเป็นรูปหนูขลิบทองคู่ เชื่อว่าหากใครที่มีไว้ครอบครองจะส่งเสริมให้ชีวิตเจอแต่ความสุข สมหวังในชีวิต

 

  • คนเกิดวันศุกร์ เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังที่มีลักษณะเป็นรูปหนู ส่งเสริมในเรื่องของสติปัญญาและด้วยพื้นฐานหนูมีนิสัยขยัน ชอบหาของกินอยู่ตลอด จึงได้รับยกย่องว่ารวยจากความขยันนั้นเอง

 

  • คนเกิดวันเสาร์ เหมาะกับการบูชาเครื่องรางของขลังที่มีลักษณะเป็นพญานาคราช ส่งเสริมในเรื่องการเงิน โชคลาภและปกป้องจากภัยอันตรายต่าง ๆ 

 

ใครที่เป็นสายมูเตลูคงถูกใจไม่น้อยกับเครื่องรางสำหรับคนแต่ละวันเกิด เชื่อว่าหากบูชาได้ตรงตามวันเกิดของตัวเองจะเป็นการเพิ่มพลังอำนาจให้แก่สิ่งนั้นมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ความเชื่อของแต่ละคน อีกทั้งหากใครที่เชื่อและศรัทธาในเรื่องนี้มาก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากจะบูชามากกว่าหนึ่งชิ้น

 

ก่อนซื้อแฟรนชายส์มาทำธุรกิจ มีข้อควรรู้อะไรบ้าง

ก่อนซื้อแฟรนชายส์มาทำธุรกิจ มีข้อควรรู้อะไรบ้าง

ใครที่มีความฝันทำธุรกิจแล้วอยากมีตัวช่วย ให้ธุรกิจราบรื่น ต่างต้องการซื้อแฟรนไชส์กันทั้งนั้น เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลามานั่งศึกษาตลาดเอง ทางบริษัทผู้ขายแฟรนไชส์ ก็สนับสนุนไม่ให้ผู้ซื้อขาดทุนจนต้องปิดกิจการไป เพราะนั่นหมายถึงชื่อเสียงของแบรนด์ที่จะถูกมองในเชิงลบด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าผู้ซื้อแฟรนไชส์ ต้องศึกษาหาความรู้เองเช่นกัน ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่ามีข้อกำหนดอะไรบ้าง ที่ผู้สนใจร่วมลงทุนควรทราบ

เงื่อนไขในการเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์

ไม่ใช่ว่ามีเงินเพียงอย่างเดียว แล้วบริษัทจะขายแฟรนไชส์ให้คุณเสมอไป เนื่องจากแต่ละแห่งนั้นมีข้อกำหนดบังคับว่าผู้ซื้อมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการเป็น franchisee หรือไม่ และยิ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ยิ่งมีเงื่อนไขซับซ้อนมาก เรียกได้ว่าใน 1 ปี มีผู้ผ่านคุณสมบัติไม่ถึง 10% และตัวอย่างเงื่อนไขของแต่ละบริษัทมีดังนี้

Café Amazon ผู้ขอสิทธิ์แฟรนไชส์ ต้องจดทะเบียนนิติบุคคล พร้อมมีพื้นที่ตามที่บริษัทกำหนด เช่น 1. stand alone ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 100 ตร.ม. – 200 ตร.ม. มองเห็นสังเกตโดยง่าย  2.รูปแบบ Shop ตามห้าง ควรมีพื้นที่ 40 ตร.ม. ขึ้นไป ต้องมีคนเดินผ่านหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 3 พันคนต่อวัน อีกทั้งสถานะการเงินแข็งแรง มีเงินสดหมุนเวียนสม่ำเสมอ

ไก่ย่าง 5 ดาว ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ต้องเป็นนิติบุคคลก็ได้ แค่มีอายุไม่เกิน 50 ปี สัญชาติไทย พร้อมทำเลที่เหมาะสม ก็เริ่มต้นเปิดร้านได้แล้ว ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 5 หมื่นบาท พร้อมค่าประกันอุปกรณ์ตามที่บริษัทกำหนด

ถูกดี ร้านค้าปลีกเน้นราคาประหยัด ผู้ขอสิทธิ์แฟรนไชส์ ต้องมีพื้นที่น่าสนใจ ชาวบ้านในชุมชนเข้าถึง และเงื่อนไขขอแฟรนชายส์ คือ ต้องมีเงินค้ำประกัน เพื่อปฎิบัติตามสัญญา 2 แสนบาท พร้อมบุคคลค้ำประกัน อีกทั้งต้องตกแต่งร้านให้ได้ตามมาตรฐานของบริษัท ค่าตกแต่งร้านเริ่มต้นที่ 5 หมื่นบาท

ระยะเวลาในการคืนทุน

ข้อนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก แม้แฟรนไชส์เป็นธุรกิจที่ดำเนินกิจการได้อย่างสม่ำเสมอ
ยิ่งแบรนด์น่าเชื่อถือ ผู้ขอสิทธิ์แทบไม่ต้องทำอะไร ยังไงลูกค้าก็เข้าร้านอยู่แล้ว เพราะเจ้าของแฟรนไชส์ลงทุนทำการตลาดให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากแฟรนไชส์นั้น คืนทุนช้าใช้เวลานาน อาจพิจารณาเอาเงินไปลงทุนธุรกิจอื่นดีกว่า 

การแบ่งเปอร์เซ็นต์กำไร

แฟรนไชส์แต่ละแบรนด์ ออกแบบระบบกำไรต่างกันออกไป ซึ่งระดับ Royalty Fee ควรไม่เกิน 5 % เพราะถ้าผู้ขายแฟรนไชส์ขอแบ่งกำไรเกินกว่านี้ ผู้ซื้อสิทธิ์อาจดำเนินการต่อไปไม่ไหว หรือบางแห่งมีขนาดเล็ก ไม่ได้แบ่งกำไรต่อ order ของลูกค้า (Royalty Fee) แต่ให้ผู้ได้สิทธิ์แฟรนไชส์ ซื้อสินค้าของบริษัทตัวเอง แทนที่จะเรียกเก็บค่า Royalty Fee 

นอกจากจะพิจารณาถึงปัจจัยเหล่านี้แล้ว เรื่องสำคัญที่ควรรู้ก็คือ ผู้ขายแฟรนไชส์ดูแลผู้ซื้อสิทธิ์ดีไหม ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรหรือไม่? เพราะบางแฟรนไชส์ ดูแลผู้ซื้ออย่างดี ชนิดที่เรียกว่าไม่ปล่อยให้ล้ม ในขณะที่บางแห่งไม่เคยช่วยเหลือเวลาเกิดปัญหาขึ้นมา ดังนั้นธรรมาภิบาลของผู้ขายแฟรนไชส์เองก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน

5 วิธีมีความสุขในทุกวันแบบง่าย ๆ ตอบโจทย์วัยทำงาน

5 วิธีมีความสุขในทุกวันแบบง่าย ๆ ตอบโจทย์วัยทำงาน

การมีความสุขดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานก็ทำให้หลายคนมองข้ามที่จะมีความสุขกับสิ่งรอบ ๆ ตัว รวมทั้งสภาพแวดล้อมและสภาวะที่มีความกดดันก็ทำให้การดูแลตนเองให้มีความสุขไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับใครที่จะมีความสุขในทุก ๆ วันด้วยตัวเองในวัยทำงานตามไปดู 5 วิธีน่ารู้กันได้เลย

-จัดตารางชีวิตให้มีความลงตัวและสมดุล การที่มีตารางชีวิตที่ดี ไม่วุ่นวาย ทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเครียด ความกังวลที่จะเกิดขึ้นระหว่างวัน เนื่องจากมีการวางแผนงานมาแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่คนวัยทำงานไม่ควรพลาด

-ออกไปพบปะกับผู้คน เพื่อน คนรู้จักเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ เข้าสังคมเพื่อแชร์หรือแบ่งปันเรื่องราวของกันและกัน รวมถึงแลกเปลี่ยนทัศนคติเพื่อเปิดมุมมองต่าง ๆ ให้กว้างขึ้น แม้ว่าพื้นฐานของหลาย ๆ คนจะชอบการอยู่คนเดียวแต่การเข้าสังคมก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ช่วยลดความซึมเศร้า ความเหงาหรือความรู้สึกว้าเหว่ การได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้างจากการทำงานมาตลอดวันก็ส่งเสริมให้มีความผ่อนคลาย สบายใจมากขึ้น

-ด้วยของขวัญที่ตัวเองอยากได้ในบางโอกาสเพื่อเติมเต็มความสุขให้กับตนเอง โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นของที่มีราคาแพงหรือของที่พิเศษอะไร แต่เป็นสิ่งของที่ตนเองอยากได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถมีความสุขได้มากขึ้นแล้ว

-ให้กำลังใจและยินดีกับตัวเองด้วยการชมตนเอง ในเรื่องที่ตนเองทำได้ดีหรือเรื่องที่รู้สึกว่าตนเองทำได้ดีที่สุดแล้ว โดยทุกคนสามารถที่จะพูดชมตัวเองในในทุก ๆ วัน กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในที่ทำงานได้ แม้ว่าจะไม่มีใครเอ่ยชมเราก็สามารถพูดชมตัวเองได้ว่า “เก่งจังเลย” หรือ “เยี่ยม” เป็นต้น

-มองโลกในมุมมองที่เป็นแง่บวกมากยิ่งขึ้น ไม่มองเพียงด้านลบ ๆ เพียงอย่างเดียว ถ้าเราลองมองหาประโยชน์หรือข้อดีจากสถานการณ์ต่าง ๆ ก็จะพบว่าทุกเหตุการณ์มีข้อดีซ่อนอยู่ เราเพียงต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมเท่านั้นเอง ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเป็นสถานการณ์ที่แย่แค่ไหนก็ตาม ในช่วงแรกวิธีนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนแต่ถ้าฝึกบ่อย ๆ จนชินก็สามารถทำได้แน่นอน

ต้องบอกว่าทั้ง 5 วิธีในการสร้างความสุขในวัยทำงานที่ได้ผลจริงทั้งการมีมุมมองบอก การชื่นชมตนเอง การให้รางวัลกับตนเอง การเข้าสังคมการจัดตารางชีวิต ดูเหมือนจะเป็นวิธีง่าย ๆ แต่หลายคนก็มักมองข้ามไป ใครที่อยากมีความสุขในทุก ๆ วันสามารถหยิบยกวิธีข้างต้นไปรับใช้ได้เลย รับรองได้ว่าดีต่อใจแน่นอน

5 เคล็ดลับแต่งหน้าให้ติดทนนาน ไม่ไหลเยิ้ม ให้หน้าสวยเป๊ะทั้งวัน

5 เคล็ดลับแต่งหน้าให้ติดทนนาน ไม่ไหลเยิ้ม ให้หน้าสวยเป๊ะทั้งวัน

ช่วงนี้อากาศในประเทศไทยร้อนปรอทแตก แถมแดดก็แรงมาก สาว ๆ หลายคนน่าจะกำลังพบเจอกับปัญหาหน้ามันสุด ๆ จนทำให้เครื่องสำอางไหลเยิ้มระหว่างวัน จนสภาพไม่น่าดู วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ ในการแต่งหน้าที่จะช่วยให้เครื่องสำอางติดทน เมคอัพไม่ไหลหลุดระหว่างวัน จะมีเคล็ดลับอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

1.เลือกใช้ครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
ขั้นตอนสำคัญก่อนแต่งหน้า คือการทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อบำรุงให้ผิวของเราชุ่มชื้นขึ้น เครื่องสำอางติดทนมากขึ้น และสิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดเลยนั่นก็คือการทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด ควรเลือกใช้ครีมประเภทที่ไม่มีน้ำมันผสม อย่างเช่น ครีมเนื้อเจลและเนื้อน้ำนม เพื่อไม่ให้ครีมไหลเยิ้มระหว่างวัน

2.ลงไพรเมอร์ก่อนแต่งหน้า
สาว ๆ หลายคนอาจจะมองข้ามขั้นตอนนี้ แต่ขอบอกเลยว่าไพรเมอร์ติดกระเป๋าไว้เลย นอกจากจะช่วยปกปิดรูขุมขนช่วยให้ของเราให้เรียบเนียน ยังช่วยคุมความมันทำให้เครื่องสำอางติดทนนานตลอดทั้งวันอีกด้วย

3.ลงรองพื้นทีละน้อย
การลงรองพื้นที่ถูกต้อง ห้ามโบกรองพื้นหนาเด็ดขาด ควรลงทีละน้อยในแต่ละจุดแล้วใช้แปรงหรือฟองน้ำเกลี่ยให้เรียบเนียนไปกับผิว ค่อย ๆ ลงไปทีละจุดจนทั่วใบหน้า และที่สำคัญควรเลือกรองพื้นที่เหมาะกับสภาพผิว อย่างผิวมันควรเลือกใช้รองพื้นเนื้อแมตต์ การลงรองพื้นแบบบางเบาจะทำให้ผิวหน้ารู้สึกสบาย ไม่อุดตัน และไม่ไหลเยิ้มในวันที่อากาศร้อน

4.เซตเครื่องสำอางด้วยแป้งฝุ่น
หลังจากลงรองพื้นเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการเซตรองพื้นด้วยแป้งฝุ่นเพื่อซับความมันส่วนเกินของเครื่องสำอางด้วยการใช้พัฟฟ์ฟองน้ำแตะแป้งฝุ่นแล้วกดลงผิวหน้าให้ทั่ว จากนั้นใช้แปรงพุ่มใหญ่ ๆ ปัดอย่างเบามือให้แป้งส่วนเกินหลุดออก เพื่อไม่ให้แป้งจับตัวเป็นก้อน

5.ฉีดสเปรย์น้ำแร่แล้วซับหน้าด้วยทิชชู
มาถึงขั้นตอนสุดท้ายกันแล้ว ก็คือการเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว เมื่อแต่งหน้าเสร็จแล้วควรฉีดสเปรย์น้ำแร่แล้วซับหน้าด้วยกระดาษทิชชูเพื่อไม่ให้ผิวหน้าแห้งจนเครื่องสำอางหลุดลอกระหว่างวัน และควรพกสเปรย์น้ำแร่เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวระหว่างวันด้วย

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเคล็ดลับที่เรานำมาฝากในวันนี้ อย่าลืมเอาไปทำตามกันดูนะคะ ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือแดดจะแรงขนาดไหน รับรองว่าหากทำตามขั้นตอนที่เราบอกไปข้างต้น เครื่องสำอางก็ไม่ไหลเยิ้มมากองรวมกันแน่นอน

4 ข้อต้องรู้สำหรับการลดความอิจฉาและเสริมพลังงานบวก

4 ข้อต้องรู้สำหรับการลดความอิจฉาและเสริมพลังงานบวก

ในยุคปัจจุบันเป็นยุคของโซเชียลมีเดียที่ผู้คนมีการติดต่อสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถเห็นชีวิตส่วนตัวที่มีการแชร์ผ่านหน้าแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook Instagram YouTube และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องดี ๆ มุมที่มีความสุข ซึ่งหลาย ๆ คนก็สามารถเกิดความรู้สึกที่ไม่พึงพอใจในตนเอง รู้สึกอิจฉาขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าหากว่าใครมีความรู้สึกดังกล่าวขึ้นมาการจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นจึงเป็นเป็นทางออกที่ดีและช่วยขจัดความรู้สึกที่ไม่เหมาะสมออกไป

  • เริ่มต้นจากการยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังเกิดความรู้สึกอิจฉา ก็ให้ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ลองสังเกตตัวเองดูว่าขณะนั้นมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความกังวล ความโกรธอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้าหากได้รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองแล้วความรู้สึกอิจฉาที่เกิดขึ้นก็จะเบาบางลดลงไปได้

 

  • ใส่ใจการเห็นคุณค่าของตนเองให้มากขึ้น ความรู้สึกที่เรามองเห็นว่าตัวตนของตนเองมีคุณค่ามากมายขนาดไหน สามารถทำอะไรได้เพื่อตนเอง เพื่อสังคมรอบข้าง จะทำให้การนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจะลดน้อยลงไปอย่างมาก เนื่องจากมีความรู้สึกที่พอใจและมีความมั่นคงให้กับตนเอง มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการ เมื่อมีปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอกมากระทบก็จะไม่ทำให้รู้สึกว่าต้องลดคุณค่าของตนเองด้วยการที่จะไปรู้สึกไม่ดีหรือหาข้อเสียของคนอื่นที่มีความรู้สึกอิจฉา

 

  • เมื่อเกิดความรู้สึกที่อิจฉาขึ้นมาแล้วให้พยายามทำให้จิตใจเกิดความสงบลงก่อน ไม่เติมเชื้อเพลิงให้กับความรู้สึกโดยสามารถเลือกไปทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความผ่อนคลาย เช่น การดูหนังฟังเพลง การทำงานฝีมือ การปลูกต้นไม้ การวาดรูป เป็นต้น เมื่อสภาพภายในจิตใจสงบลงแล้วความรู้สึกที่เป็นพลังลบต่าง ๆ ก็จะจางลงไปด้วย

 

  • ค้นหาสิ่งที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น ถ้าหากว่ารู้สึกอิจฉาคนที่มีชีวิตสุขสบาย ได้รับประทานอาหารดี ๆ มีเงินไปเที่ยวต่างประเทศ ให้ลองนึกถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความคิดเหล่านั้นขึ้นมาว่าเกิดจากการที่ต้องการมีเหมือนคนอื่นหรือต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองเป็นต้น เมื่อทราบแล้วก็ลองพิจารณาดูว่าต้องการอะไรจริง ๆ อยากมีชีวิตในรูปแบบไหนก็สามารถใช้เวลาที่มีอยู่พัฒนาตนเองเพื่อไปอยู่ในจุดที่ต้องการ 

 

เป็นอย่างไรบ้างกับ 4 ข้อที่จะทำให้ทุกคนสามารถจัดการกับอารมณ์อิจฉาเจ้าปัญหาได้ การมีวิธีและแนวทางที่ดีก็ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะได้จะได้ตัดพลังงานลบ ๆ ออกไปแล้วก็ยังสามารถได้รับพลังงานบวก ๆ กลับคืนมาให้กับตนเองด้วย