5 เทคนิคลดความเครียด พักสมอง พักใจ คุณก็ทำได้

5 เทคนิคลดความเครียด พักสมอง พักใจ คุณก็ทำได้

เคยไหม เครียดแล้วหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร บางครั้งก็จมอยู่กับมัน เทคนิคเหล่านี้ช่วยคุณได้ ถ้าเครียดแล้วไม่มีทางออก หรือแก้ปัญหาที่เจออยู่ไม่ได้ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กันดู ปรับจูนตัวเอง พักสมอง พักใจกันง่าย ๆ ด้วย 5 เทคนิคที่ใครก็ทำได้ ช่วยลดความเครียดได้ดี แถมยังง่าย เริ่มต้นที่ตัวคุณเองอีกด้วย

นอนให้เพียงพอ

การนอนให้เพียงพอช่วยให้สมองได้พักอย่างเต็มที่ เข้านอนให้เร็วขึ้นถ้าสามารถจัดสรรเวลาได้ควรเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม และตื่นมาสัมผัสบรรยากาศยามเช้าตรู่ ราวตีห้า หรือ หกโมงเช้า แทนการนอนดึกแล้วตื่นสาย ความมหัศจรรย์ยามเช้าจะช่วยให้สมองที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สวดมนต์ ทำสมาธิ

หามุมสงบสวดมนต์ให้เสียงดังฟังชัด เอาจิตจดจ่ออยู่กับเนื้อหาของบทสวด สวดให้ยาวมากพอที่จะดึงจิตเราให้สงบลงได้ จากนั้นนั่งสมาธิต่ออย่างน้อย 10-15 นาที แล้วนอนพัก หากเลือกทำสมาธิในเวลาทำงาน สามารถหามุมสงบในออฟฟิศนั่งฝึกลมหายใจสัก 10-15 นาที ก็ช่วยให้จิตเราสงบขึ้นได้มากแล้ว

พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน

การได้พบเพื่อน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วยทำให้เราเรียนรู้ที่จะฟัง และเข้าใจคนอื่นมากขึ้นไปพร้อมๆ กับลดความสนใจเรื่องของตัวเองลงบ้าง อย่ามั่วหมกตัวเงียบดู livescore888 อยู่ลำพัง ซึ่งบางครั้งประสบการณ์ของเพื่อนก็อาจเป็นแสงสว่างให้กับเราในคราวเดียวกันด้วย

คิดบวกเข้าไว้

ในทุกปัญหามีทางออก ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสให้เราเสมอ สำคัญที่วิธีคิด วิธีมอง ในทุกครั้งที่ผจญกับความเครียดหาให้พบว่าเราเครียดเรื่องอะไร จากนั้นลองหาสาเหตุแห่งความเครียดนั้น แล้วค่อยๆเขียนลงกระดาษ เมื่อหาสาเหตุได้ การหาทางออกก็จะง่ายขึ้น จากนั้นลองเขียนออกมาว่า เราได้ประโยชน์อะไรจากปัญหาครั้งนี้บ้าง การเขียนลงบนกระดาษช่วยทำให้เราจดจ่อกับการค้นหามุมบวก ไม่ล่องลอย ไม่ฟุ้งไปกับเหตุการณ์ที่พร้อมจะดึงลงที่ต่ำ

ช่างมัน

สัจธรรม คือไม่มีใคร หรืออะไรที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทั้งหมด มีทุกข์ ก็มีสุขสลับกันไปมาไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน วันนี้กำไร พรุ่งนี้ก็อาจจะขาดทุน วันนี้รักกันอีกไม่นานก็อาจบาดหมาง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรคิด และลงมือทำในวันนี้คือ ทำให้ดีที่สุดในจุดที่เรายืน หากเราทำเต็มที่แล้วยังพบความผิดพลาด ไม่สมบูรณ์ ก็ควรจะต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็นได้บ้าง เพื่อให้เป็นฐานประสบการณ์ให้เราฝึกความเข้มแข็งต่อไป

เห็นไหมว่าไม่ยากเลย เมื่อเจอความเครียดขอเพียงตั้งสติก่อน จากนั้นก็พักสมอง พักใจ และกำจัดความเครียดด้วย 5 เทคนิคเหล่านี้ เชื่อว่าทำให้คุณยิ้มได้ ไม่เครียดด้วย

7 เทคนิคถนอมดวงตาสุขภาพดี

7 เทคนิคถนอมดวงตาสุขภาพดี

ดวงตาและการมองเห็น คือ หัวใจสำคัญหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ เราวิ่งวุ่นดูแลร่างกายส่วนอื่นแต่กลับลืมหัวใจดวงนี้กระทั่งภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เราจะถนอมดวงตาให้สามารถใช้งานได้ตลอดอายุขัยได้อย่างไรบ้าง เรามี 7 เทคนิคมาฝากกัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาโดยตรง ได้แก่การขยี้ การใช้อุปกรณ์เขี่ยเศษผง เป็นต้น เพราะมีโอกาสทำให้ดวงตาติดเชื้อ เยื่อบุตาฉีกขาด เกิดแผลในลูกตาได้โดยง่าย หากจำเป็นควรใช้น้ำยาล้างตาที่ได้มาตรฐานรับรอง และหมั่นล้างมือให้สะอาดเสมอ

พักสายตาเป็นระยะ ไม่ควรใช้สายตาต่อเนื่องกันเกิน 1 ชั่วโมง เช่น อ่านหนังสือ ดูทีวี ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ดูคลิป,อ่าน e-book หรือขับรถนาน ๆ เมื่อรู้สึกดวงตาอ่อนล้าให้พัก 5-10 นาที ด้วยการหลับตาสักครู่ หรือทอดสายตาไปไกล ๆ โดยไม่ต้องเพ่งจดจ้องสิ่งใด หรือบริหารตาด้วยการเหลือบตาขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา สัก 10 ครั้ง

สวมอุปกรณ์ป้องกันเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุกับดวงตาถึงขั้นตาบอดได้ เช่น ใส่หน้ากากทุกครั้งขณะทำงานเจียร ตัดเหล็ก, ใส่แว่น หมวกกันน็อค เมื่ออยู่ในที่ที่มีฝุ่นละออง เขตก่อสร้าง และขับขี่จักรยานยนต์, สวมแว่นกันแดดเมื่อปะทะแสงแดดจัด

ลดการปะทะแสงสีฟ้า แสงสีฟ้าเกิดจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ ควรต้องหาอุปกรณ์ป้องกัน ประเภทแว่น, ฟิล์ม หรือแผ่นกรองแสงที่ช่วยลดแสงสีฟ้า (blue light cut) ,ปรับแสงสว่างหน้าจอไม่ให้จ้าเกินไป และควรต้องพักสายตาเป็นระยะด้วย

ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยบำรุงสายตาเป็นพิเศษด้วยอาหารที่อุดมไปด้วย วิตามินเอ ช่วยปกป้องกระจกตา ทำให้มองเห็นชัดในที่มืด มีมากในอาหารประเภทผัก ผลไม้สีเหลือง หรือกลุ่มที่สังเคราะห์แสงได้ จะมี “แคโรทีนอยด์” (Carotenoid) ช่วยสร้างวิตามินเอ เช่น ฟักทอง ตำลึง แครอท ผักบุ้ง สับปะรดภูเก็ต มะยงชิด ลูกพลับ มะเขือเทศราชินี เป็นต้น นอกจากนี้ วิตามินซี และอี ก็ยังมีส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อม และช่วยบำรุงประสาทตาด้วย

งดการสูบบุหรี่ ลด งด เลี่ยงการสูบเพราะมีความเสี่ยงต่อโรคต้อกระจก ,โรคจอประสาทตาเสื่อม,โรคม่านตาอักเสบ, โรคเบาหวานขึ้นตา หรือ โรคตาแห้ง

ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ ตรวจด้วยตัวเองด้วยการเอามือปิดตาทีละข้างสังเกตการณ์มองเห็นว่ายังชัดเจนและดวงตาทำงานได้ดี และไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กละเอียดเป็นประจำทุกปี โรคเบาหวาน ความดันสูง และโรคหัวใจ มีผลต่อสุขภาพดวงตาด้วยเช่นกัน

ดวงตาคืออวัยวะที่เราจะทอดทิ้งไม่ได้ หมั่นศึกษาหาข้อมูลเรียนรู้เรื่องดวงตา ปรึกษาแพทย์เป็นประจำช่วยให้การดูแล ป้องกัน รักษาได้ถูกต้อง ตรงจุด ช่วยถนอมดวงตา และประหยัดค่ารักษาได้มาก

วิธีการดูแลตนเองง่าย ๆ ให้ห่างไกลจากโรคอ้วน

วิธีการดูแลตนเองง่าย ๆ ให้ห่างไกลจากโรคอ้วน

รู้หรือเปล่าว่าการมีน้ำหนักตัวที่มากเกินกว่าเกณฑ์ปกติ ส่งผลเสียหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลิกภาพ ด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวร่างกาย ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นถ้าหากว่าเรามีวิธีในกาดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคอ้วนก็จะช่วยทำให้เราสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้นได้

วิธีแรก ในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคอ้วนก็คือ การรับประทานอาหารที่มีไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ เลี่ยงอาหารจำพวกของทอด ของมัน อาหารขยะต่าง ๆ โดยสามารถที่จะรับประทานได้เป็นครั้งคราว ไม่ควรที่จะรับประทานบ่อย ๆ เป็นประจำทุก ๆ วัน เพราะอาจจะทำให้เกิดไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป ถ้ามีไขมันไปสะสมที่บริเวณผนังหลอดเลือดก็อาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้ อย่างโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น

วิธีที่สอง คือการหลีกเลี่ยงการรับประทานของหวาน อย่างขนมหวาน เครื่องดื่มที่มีรสชาติหวาน อาหารที่มีความหวานค่อนข้างมาก เพราะนอกจากจะทำให้น้ำหนักขึ้นเร็วแล้ว ก็ยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้อีกด้วย ข้อเสียของการรับประทานน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้ผิวพรรณไม่สดใสเปล่งปลั่ง เป็นตัวการที่ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย ต้องบอกเลยว่าการเลี่ยงความหวานนั้นได้ประโยชน์หลากหลายต่อเลยทีเดียว

มาต่อกันด้วยวิธีที่สามก็คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเราสามารถที่จะเลือกการออกกำลังกายได้หลากหลายรูปแบบ จุดสำคัญคือเราจะต้องมีการออกกำลังกายด้วยความหนักที่พอดี เมื่อคำนวณแคลอรีที่เสียไปกับการออกกำลังกายแล้วจะต้องมีความเหมาะสมกับปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไป ถ้าหากว่าเรารับประทานอาหารจำนวนที่มีแคลอรีค่อนข้างมาก ก็ควรเพิ่มกิจกรรมทางกายให้มากขึ้น ใครที่มีกิจวัตรประจำวันส่วนใหญ่เป็นการนั่ง การนอน ควรที่จะเพิ่มกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวันให้เพิ่มมากขึ้นด้วย เช่น ขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์สัก 2 ชั้น หรือเดินไกลขึ้น เป็นต้น

นอกจากเน้นการเผาผลาญแล้ว การที่เราออกกำลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ด้วยที่ว่าร่างกายของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น กล้ามเนื้อที่มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากการที่มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นสัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะมีความกระชับมากขึ้น ผิวหนังที่มีไขมัน มีความหย่อนคล้อยก็จะเข้ารูป ได้สัดส่วนที่ดีมากยิ่งขึ้น

นี่ก็คือวิธีการดูแลตนเองง่าย ๆ ให้ห่างไกลจากโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่าง ๆ แต่ละวิธีนั้นทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่ต้องมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ถ้าทำได้แล้วล่ะก็รับรองว่าจะมีสุขภาพที่ดีอย่างแน่นอน

ดื่มกาแฟขณะท้องว่าง มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร

ดื่มกาแฟขณะท้องว่าง มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร

หลายคนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟร้อนเป็นสิ่งแรกก่อนอาหารเช้า บางทีมื้อเช้าจะดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวเท่านั้น แต่การดื่มกาแฟขณะท้องว่างจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือเปล่า เรื่องนี้นักโภชนาการให้คำตอบว่าร่างกายคนเราตอบสนองสิ่งที่กินและดื่มไม่เหมือนกัน ผลกระทบจากการดื่มกาแฟจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว บางคนดื่มกาแฟโดยไม่มีปัญหาใด ๆ แต่บางคนอาจไวต่อคาเฟอีนเป็นพิเศษ เมื่อดื่มกาแฟในขณะท้องว่างจึงไม่ใช่เรื่องดีเลย ส่งผลให้จุกเสียดแน่นท้องเพราะอาหารไม่ย่อยหรือรู้สึกกระวนกระวายใจผิดปกติ ถ้าดื่มแล้วรู้สึกไม่สบาย ก็ควรปรับนิสัยการรับประทาน แต่ถ้าไม่รู้สึกถึงผลเสียใด ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดดื่ม

หลังดื่มกาแฟลองสังเกตว่าเกิดปัญหาท้องอืด จุกเสียด มือสั่น ใจสั่น กระวนกระวาย กระสับกระส่ายนอนไม่หลับและหัวใจเต้นเร็วหรือไม่ กาแฟที่มีคาเฟอีนเป็นตัวกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหารอาจทำให้บางคนรู้สึกระคายเคืองกระเพาะอาหาร มีอาการเสียดท้องและกรดไหลย้อน บางคนอ่อนไหวมากจะไม่สบายอย่างเห็นได้ชัดเจน แนะนำว่าระหว่างจิบกาแฟให้รับประทานขนมปัง กล้วยสุก ไข่ ผลไม้ที่ไม่ใช่รสเปรี้ยว หรือของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ควบคู่ไปด้วยเพื่อช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร

ถามว่าการดื่มกาแฟขณะท้องว่างกับปัญหาของระบบย่อยอาหารเชื่อมโยงกันอย่างไร จนถึงปัจจุบันยังมีงานวิจัยที่เจาะจงศึกษาถึงเรื่องนี้ออกมาไม่มากนัก แต่พอจะสรุปได้ว่าถ้าใครมีปัญหาในระบบทางเดินอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงดื่มกาแฟขณะท้องว่าง รวมทั้งระมัดระวังไม่ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมมากเกินไป เพราะอาจเป็นสาเหตุของกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้องได้เหมือนกัน

ฤทธิ์กระตุ้นของสารคาเฟอีนทำให้กล้ามเนื้อในลำไส้ใหญ่บีบตัวมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ดี แต่ส่วนประกอบอื่น ๆ ในกาแฟมีส่วนช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้เช่นกัน ซึ่งหมายความว่าเครื่องดื่มอื่นที่ไม่มีคาเฟอีนก็สามารถกระตุ้นการหดตัวของลำไส้ใหญ่ได้ ตรงจุดนี้ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งการดื่มกาแฟขณะท้องว่าง อาจไม่ใช่สาเหตุของอาการไม่สบาย แต่เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากอาหารอย่างอื่น

กรณีที่บางคนมีปัญหาระบบทางเดินอาหารและโรคลำไส้แปรปรวนอยู่แล้ว การดื่มกาแฟอาจทำให้ท้องเสียสลับท้องผูกและอาการแย่ลงก็เป็นได้ สารคาเฟอีนมีผลต่อคอกาแฟแตกต่างกันไป ควรใส่ใจสังเกตตัวเอง ถ้ารู้สึกไม่สบายเป็นประจำเมื่อดื่มกาแฟขณะท้องว่าง หรือท้องเสียเมื่อทานอาหารและของว่างบางอย่างพร้อมกับกาแฟ ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น

มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ถึงอาการไม่สบาย ดื่มกาแฟแก้วเดียวอาจไม่เป็นอะไร แต่ถ้าดื่มหลายแก้วแล้วรู้สึกไม่ดี มีอาการผิดปกติ ควรปรับตัวตามความเหมาะสม เรื่องปริมาณสารคาเฟอีนก็มีส่วนสำคัญ แต่ผู้ที่เป็นโรควิตกกังวลอยู่แล้ว แม้จะคิดว่าดื่มน้อยกว่าแล้ว แต่แค่กาแฟถ้วยเดียวก็อาจทำให้มีอาการกังวล รู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายมากกว่าคนทั่วไปที่ดื่มกาแฟ 3 แก้วก็เป็นได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความไวต่อคาเฟอีนของแต่ละบุคคลที่ไม่เท่ากันนั่นเอง

เครื่องดื่ม 4 ประเภท ที่ดื่มแล้วช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี

เครื่องดื่ม 4 ประเภท ที่ดื่มแล้วช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี

เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงสุขภาพนั้น ให้ผลการบำรุงที่แตกต่างกัน เนื่องจากการพัฒนาร่างกายของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เครื่องดื่มบางชนิดดีกับคุณแต่อาจไม่ได้ผลกับคนอื่น หรือในทางตรงข้ามได้ผลดีกับคนอื่นแต่ไม่ดีกับคุณก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราจะมาแนะนำ 4 เครื่องดื่มที่คนส่วนใหญ่ดื่มแล้วช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี เพื่อเป็นแนวทางรักษาสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

1.ซุปไก่สกัด

เครื่องดื่มบำรุงกำลังประกอบด้วยโปรตีนซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับคนไทยมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เพราะเมื่อได้ดื่มเข้าไปจะไม่รู้สึกเหนื่อยและทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ส่วนในด้านราคาค่อนข้างแพง ถ้าคนที่ไม่ค่อยมีเงินมากนักก็สามารถทดแทนได้ด้วยการลงมือทำซุปไก่ได้ด้วยตัวเอง โดยการเริ่มต้นนำไก่ทั้งตัวมาตุ๋น แต่อย่างไรก็ตาม ซุปไก่สกัดก็มีสิ่งที่พึงต้องระวังเล็กน้อยสำหรับบางคน เนื่องจาก มี Uric Acid สูง ส่งผลทำให้มีโอกาสเป็นโรคเก๊าท์หรือปวดตามข้อได้

2.รังนก

รังนกเป็นเครื่องดื่มที่ประกอบด้วยโปรตีนเช่นเดียวกับซุปไก่สกัด แต่จะมีความแตกต่างคือ คุณประโยชน์ในการบำรุงกำลังจะน้อยกว่าซุปไก่สกัด ส่วนในด้านคุณสมบัติพิเศษของรังนกก็จะเป็นในด้านรสชาติที่มีความอร่อยเนื่องจากรังนกมีที่มาจากสถานที่ธรรมชาติคือตามผนังถ้ำสูง ทำให้รังนกจะมีลักษณะหนาและไม่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปน จึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในความปลอดภัย สำหรับในด้านของราคา รังนกมีราคาขายค่อนข้างแพง เนื่องจากในหนึ่งปี จะสามารถเก็บรังนกได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น

3.คอลลาเจน

คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีอยู่แล้วในร่างกายซึ่งจะเกี่ยวข้องกับสุขภาพผิวพรรณ มีส่วนช่วยให้ผิวหนังมีความตึงและยืดหยุ่น โดยทางการแพทย์จะเรียกว่า Collagen1A1 แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีการผลิตเครื่องดื่มคอลลาเจนมากมายโดยเฉพาะ Collagen Tripeptide หรือเป็นนาโนเปปไทด์ คอลลาเจนกลุ่มนี้ได้รับการวิจัยมาแล้วว่าสามารถช่วยเรื่องผิวพรรณได้ดีขึ้น ช่วยเรื่องข้อเข่าและข้อต่อให้ขยับเคลื่อนไหวไปมาแบบไม่ติดขัด ซึ่งเป็นผลดีต่อนักกีฬาให้สามารถเล่นกีฬาได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น

4.เครื่องดื่มประเภทวิตามิน

เครื่องดื่มวิตามินมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายทุกคน แต่ก็ต้องดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกชนิดที่เสริมวิตามินที่ร่างกายขาดแคลน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วประเทศไทยมักจะผลิตเครื่องดื่มวิตามิน B12 และจะไม่นิยมผลิตเครื่องดื่มวิตามินประเภทอื่น ๆ มากนัก ซึ่งต่างจากเครื่องดื่มผสมวิตามินที่ผลิตในต่างประเทศ จะมีประเภทวิตามินที่หลากหลายกว่า

ก่อนที่จะเลือกซื้อเครื่องดื่มที่ช่วยบำรุงสุขภาพ ให้ตรวจเครื่องหมาย อย.ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย และนอกจากเครื่องดื่มดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพที่สำคัญที่สุดและร่างกายขาดไม่ได้เลยเพื่อระบบการไหลเวียนที่ดี นั่นก็คือ น้ำเปล่า เพราะเป็นองค์ประกอบสำคัญในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

เคล็ดลับสุดเด็ดที่ ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ ซึ่งหากนอนไม่เพียงพอก็ส่งผลต่อสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้ แต่ปัจจุบันปัญหาการนอนไม่หลับหรือหลับยากก็พบได้มากขึ้น โดยมีหลายวิธีที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอน วันนี้เราขอนำเสนอ 5 เคล็ดลับ ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น จะมีอะไรบ้างไปดูกัน

5 เทคนิคช่วยให้หลับง่ายขึ้น

– หยุดใช้อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ก่อนนอน ในปัจจุบันอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์เป็นสิ่งที่คนใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนซึ่งเปรียบเสมือนอวัยวะอีกชิ้นส่วนของร่างกายไปแล้ว เพราะถ้าไม่ได้มีติดตัวอาจจะทำให้จิตใจวุ่นวายจนไม่สามารถทำงานอย่างอื่นได้เลย โดยหลาย ๆ คนก็มักจะเปิดโทรศัพท์เช็คข่าวสาร บางคนที่ติดฟุตบอลก็อาจจะเช็คผลการแข่งขันจาก โปรแกรมบอลเมื่อคืน ก่อนนอน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนไม่หลับเนื่องจาก แสงจากจออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะไปยับยั้งสารที่ช่วยทำให้นอนหลับอย่างเมลาโทนิน ดังนั้นควรเลิกใช้อุปกรณ์เหล่านี้ก่อนเวลานอนประมาณ 30 นาทีเป็นอย่างน้อยด้วย ซึ่งควรตั้งเวลาก่อนนอนให้ชัดเจนเพื่อที่จะกำหนดเวลาได้มากขึ้น

– ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ น้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติที่จะช่วยให้สมองและร่างกายเกิดความผ่อนคลายรวมถึงสร้างความสดชื่นด้วย โดยน้ำมันแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติต่างกัน ซึ่งจะใช้ในสถานการณ์ต่างกันด้วย เมื่อเราต้องการนอนพักผ่อน จึงควรเลือกกลิ่นที่มีคุณสมบัติที่จะช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย เช่น น้ำมันดอกกระดังงา ลาเวนเดอร์ มะลิ คาโมมายล์ เป็นต้น

– หยุดคิดเรื่องงาน การทำงานบางครั้งก็ก่อให้เกิดความเครียดจนเลยมาถึงนอกเวลางาน ซึ่งหากเราไม่ปล่อยวางก็จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับได้ ดังนั้นหากเราอยากนอนหลับได้แบบง่าย ๆ ก็ต้องหยุดคิดเรื่องงานหรือเรื่องที่ทำให้เกิดความเครียดนั้น ซึ่งการนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็จะช่วยให้เรามีแนวคิดดี ๆ ที่อาจจะแก้ปัญหาได้ดีกว่าเดิมด้วย

– ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิเป็นอีกทางที่จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้ ดังนั้น เมื่อเราทำงานมาอย่างหนักหน่วงในแต่ละวัน และปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อนแล้วก็ควรให้จิตใจได้พักด้วย โดยการหามุมสงบนั่งสมาธิวันละ 5-10 นาที ก็จะช่วยให้จิตใจสงบขึ้นและนอนหลับได้ดีขึ้นด้วย

– ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายสร้างผลดีต่อร่างกายทุกส่วน รวมถึงสมองและจิตใจ โดยขณะที่ออกกำลังกายจะมีสารเอนโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา ที่จะทำให้เกิดผลดีต่อร่างกายส่วนอื่น ๆ ด้วย เพราะทุกส่วนในร่างกายล้วนเชื่อมโยงกัน เมื่อจิตใจเกิดความผ่อนคลายก็จะทำให้นอนหลับได้สบายมากขึ้น

เคล็ดลับข้างต้นนี้ เป็นวิธีแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ใครสนใจวิธีไหนลองนำไปปรับใช้กันดู

5 เทคนิคช่วยให้หลับง่ายขึ้น

อาหารเช้าที่เหมาะกับคนไม่อยากอ้วน

อาหารเช้าที่เหมาะกับคนไม่อยากอ้วน

อาหารมื้อเช้าถือว่าเป็นมื้อแรกที่สำคัญที่สุดของวัน หลังจากที่ร่างกายคนเราได้นอนหลับพักผ่อนมา 8 ชั่วโมง โดยถูกใช้พลังงานไปกับการซ่อมแซมเซลล์ร่างกายช่วงนอนหลับ ซึ่งมีการวิจัยที่พบว่าการเลือกบริโภคอาหารที่เหมาะสมในมื้อเช้าดีต่อสุขภาพในระยะยาว และยังป้องกันปัญหาโรคอ้วนได้ด้วย จะมีอาหารอะไรบ้าง ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ มาดูกันเลย

อาหารอะไรบ้าง ที่กินแล้วไม่อ้วน

1. มีเส้นใย 1 ใน 3 ส่วน

มื้อเช้าของคนส่วนใหญ่ หากรับประทานเพียงแค่เนื้อสัตว์เช่น หมูปิ้ง ไก่ย่าง กับข้าวหรือข้าวเหนียว จะทำให้ไม่ได้รับไฟเบอร์หรือธัญพืชจากอาหาร ที่จะช่วยให้กระเพาะอิ่มได้นานจนถึงมื้อเที่ยง ทำให้เสี่ยงต่อการอยากกินอาหารจุกจิกเพิ่มระหว่างวัน ดังนั้น ควรเพิ่มให้มีไฟเบอร์จากผักสลัดหรือผลไม้ เช่น ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง ข้าวโพด ฯลฯ ให้เป็น 1 ใน 3 ส่วนของมื้อเช้า หรือเลือกข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต แทนข้าวขาวหรือขนมปังสีขาวปกติ จะทำให้ห่างไกลปัญหาโรคอ้วนได้

2. เพิ่มเมนูไข่หรือโปรตีนไขมันต่ำ

การรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือไข่ไก่ในมื้อเช้าช่วง 7-9 น. จะทำให้ร่างกายเริ่มกระบวนการย่อยและดูดซึมสารอาหารได้สมบูรณ์ ทำให้ระบบฮอร์โมนมีการหลั่งอย่างสมดุล ช่วยให้อารมณ์ดี สมองปลอดโปร่งและทำให้ลดอาการอยากกินของหวาน ที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วนได้ดีขึ้น ทั้งนี้หากมีโรคประจำตัวเช่น ไขมันในเลือดสูง ควรเลือกบริโภคไข่ขาวและเนื้อสัตว์ที่ไขมันน้อย เช่น ปลาทะเล เนื้อส่วนอกไก่ หรือเนื้อหมูสันใน แทนการรับประทานไส้กรอก หมูแฮม หรือเนื้อสัตว์ติดมันอื่น ๆ

3. แคลอรี่เหมาะสม

หลายคนเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า มื้อเช้าให้กินอย่างราชา ก็ถือว่ามีส่วนถูก แต่ขอเสริมเพิ่มเติมว่า ควรกำหนดให้มีค่าแคลอรี่หรือพลังงานจากอาหารในเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ 350-400 แคลอรี่ด้วย เพื่อให้ระบบการย่อยและเผาผลาญอาหารทำงานได้อย่างมีสมดุล โดยเมนูอาหารที่แนะนำให้เป็นมื้อเช้า เช่น ข้าวมันไก่หรือข้าวขาหมูไม่ติดหนัง เกาเหลาเลือดหมูและลูกชิ้นพร้อมข้าวซ้อมมือ ก๋วยจั๊บไม่ใส่เครื่องใน ราดหน้าพิเศษผักคะน้า เป็นต้น

4. เจลหรืออาหารให้พลังงานนักกีฬา

สำหรับคนที่ตื่นมาออกกำลังกายช่วงเช้ามืดก่อนไปทำงาน 1-2 ชั่วโมง อาหารมื้อแรกมักเป็นเจลให้พลังงานสูง หรือธัญพืชแท่งสูตรคำนวณพลังงานสำหรับนักกีฬา ซึ่งดีต่อสุขภาพคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทั้งนี้ ควรเสริมผลไม้สด เช่น กล้วยหอม ส้ม ฝรั่ง เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดเกลือแร่ที่สำคัญ อย่างโพแทสเซียมและแมกนีเซียม มีส่วนช่วยป้องกันตะคริวได้

การรับประทานอาหารมื้อเช้าสำคัญต่อร่างกาย หากต้องการสุขภาพแข็งแรงและไร้ปัญหาโรคอ้วนตามมา ต้องปฏิบัติตามหลักโภชนาการที่ดีและควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

อาหารอะไรบ้าง ที่กินแล้วไม่อ้วน