5 เคล็ดลับแต่งหน้าให้ติดทนนาน ไม่ไหลเยิ้ม ให้หน้าสวยเป๊ะทั้งวัน

5 เคล็ดลับแต่งหน้าให้ติดทนนาน ไม่ไหลเยิ้ม ให้หน้าสวยเป๊ะทั้งวัน

ช่วงนี้อากาศในประเทศไทยร้อนปรอทแตก แถมแดดก็แรงมาก สาว ๆ หลายคนน่าจะกำลังพบเจอกับปัญหาหน้ามันสุด ๆ จนทำให้เครื่องสำอางไหลเยิ้มระหว่างวัน จนสภาพไม่น่าดู วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ ในการแต่งหน้าที่จะช่วยให้เครื่องสำอางติดทน เมคอัพไม่ไหลหลุดระหว่างวัน จะมีเคล็ดลับอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

1.เลือกใช้ครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
ขั้นตอนสำคัญก่อนแต่งหน้า คือการทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อบำรุงให้ผิวของเราชุ่มชื้นขึ้น เครื่องสำอางติดทนมากขึ้น และสิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดเลยนั่นก็คือการทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด ควรเลือกใช้ครีมประเภทที่ไม่มีน้ำมันผสม อย่างเช่น ครีมเนื้อเจลและเนื้อน้ำนม เพื่อไม่ให้ครีมไหลเยิ้มระหว่างวัน

2.ลงไพรเมอร์ก่อนแต่งหน้า
สาว ๆ หลายคนอาจจะมองข้ามขั้นตอนนี้ แต่ขอบอกเลยว่าไพรเมอร์ติดกระเป๋าไว้เลย นอกจากจะช่วยปกปิดรูขุมขนช่วยให้ของเราให้เรียบเนียน ยังช่วยคุมความมันทำให้เครื่องสำอางติดทนนานตลอดทั้งวันอีกด้วย

3.ลงรองพื้นทีละน้อย
การลงรองพื้นที่ถูกต้อง ห้ามโบกรองพื้นหนาเด็ดขาด ควรลงทีละน้อยในแต่ละจุดแล้วใช้แปรงหรือฟองน้ำเกลี่ยให้เรียบเนียนไปกับผิว ค่อย ๆ ลงไปทีละจุดจนทั่วใบหน้า และที่สำคัญควรเลือกรองพื้นที่เหมาะกับสภาพผิว อย่างผิวมันควรเลือกใช้รองพื้นเนื้อแมตต์ การลงรองพื้นแบบบางเบาจะทำให้ผิวหน้ารู้สึกสบาย ไม่อุดตัน และไม่ไหลเยิ้มในวันที่อากาศร้อน

4.เซตเครื่องสำอางด้วยแป้งฝุ่น
หลังจากลงรองพื้นเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการเซตรองพื้นด้วยแป้งฝุ่นเพื่อซับความมันส่วนเกินของเครื่องสำอางด้วยการใช้พัฟฟ์ฟองน้ำแตะแป้งฝุ่นแล้วกดลงผิวหน้าให้ทั่ว จากนั้นใช้แปรงพุ่มใหญ่ ๆ ปัดอย่างเบามือให้แป้งส่วนเกินหลุดออก เพื่อไม่ให้แป้งจับตัวเป็นก้อน

5.ฉีดสเปรย์น้ำแร่แล้วซับหน้าด้วยทิชชู
มาถึงขั้นตอนสุดท้ายกันแล้ว ก็คือการเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว เมื่อแต่งหน้าเสร็จแล้วควรฉีดสเปรย์น้ำแร่แล้วซับหน้าด้วยกระดาษทิชชูเพื่อไม่ให้ผิวหน้าแห้งจนเครื่องสำอางหลุดลอกระหว่างวัน และควรพกสเปรย์น้ำแร่เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวระหว่างวันด้วย

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเคล็ดลับที่เรานำมาฝากในวันนี้ อย่าลืมเอาไปทำตามกันดูนะคะ ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือแดดจะแรงขนาดไหน รับรองว่าหากทำตามขั้นตอนที่เราบอกไปข้างต้น เครื่องสำอางก็ไม่ไหลเยิ้มมากองรวมกันแน่นอน

ของขวัญเรียกรอยยิ้มและขวัญกำลังใจสำหรับเด็ก ๆ ที่ผู้ใหญ่ต้องรู้

ของขวัญเรียกรอยยิ้มและขวัญกำลังใจสำหรับเด็ก ๆ ที่ผู้ใหญ่ต้องรู้

ช่วงเวลานี้ถือว่าใกล้โอกาสพิเศษเข้ามาทุกที ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาส ปีใหม่ เหล่านี้ล้วนเป็นวันรวมญาติที่ต่างมาพบปะสังสรรค์กันและสำหรับเด็ก ๆ แล้วคือวันแห่งการได้รับของขวัญจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่มาเยี่ยม ฉะนั้นก่อนถึงวันพิเศษเราไปดูกันว่ามีของขวัญชิ้นไหนบ้างที่จะทำให้เด็ก ๆ ประทับใจและต้องบอกเลยว่าของทุกชิ้นมีผลต่อจิตใจของเด็กในช่วงที่กำลังจะโต โดยแต่ละชิ้นมีความน่าสนใจดังนี้  

  • รถจักรยาน ถือเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งที่เด็ก ๆ หลายคนอยากได้ เพราะมันสามารถขี่ไปไหนต่อไหนได้อย่างอิสระและเป็นการฝึกทรงตัวรวมถึงใช้กล้ามเนื้อบริเวณช่วงล่างได้อย่างสัมพันธ์กันด้วย โดยรถประเภทนี้มีให้เลือกขับขี่หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น แบบเสือหมอบ แบบฟิกเกียร์ จักรยานไฟฟ้า หากผู้ใหญ่ท่านไหนมอบแก่เด็ก ๆ จะต้องเรียกรอยยิ้มได้อย่างแน่นอน 
  • สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หลาย ๆ ท่านอาจจะมองเห็นว่าการขับขี่จักรยานนั้นอาจจะสร้างความเมื่อยล้าและการเดินทางของเด็ก ๆ อาจจะไม่สะดวกและรวดเร็วทันใจเท่าที่ควร จึงเลือกสกู๊ตเตอร์แบบไฟฟ้าเพื่อทำให้ทุก ๆ การเดินทางของลูกน้อยเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ความเร็วที่ได้มานั้นย่อมแรกกับความเสี่ยงหลากหลายประการที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางได้ ดังนั้นผู้ปกครองจะต้องเลือกอุปกรณ์เซฟตี้ต่าง ๆ ควบคู่ด้วย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการขับขี่ 
  • โทรศัพท์ ถือเป็นเครื่องมือสื่อสารที่จำเป็นมาก ๆ และไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่อยากได้ เด็ก ๆ เองก็เช่นกัน
  • Tablet เด็กสมัยนี้ล้วนใฝ่ฝันอยากได้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้ เพราะมีประสิทธิภาพที่สามารถให้ความบันเทิงได้ เช่น เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง คุยกับเพื่อน ที่สำคัญยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่เพียงแค่เด็ก ๆ เท่านั้น เชื่อว่าผู้ใหญ่หลายคนเองก็มองว่ามีประโยชน์และเหมาะกับยุคสมัยอีกด้วย ฉะนั้นหากพ่อแม่คนไหนที่พอจะมีคุณทรัพย์การซื้อมอบให้ลูกเป็นของขวัญจะต้องถูกใจอย่างมากที่สุดแน่นอน 

เป็นอย่างไรกันบ้างกับของขวัญชิ้นพิเศษถือเป็นความฝันของเด็ก ๆ หลายคนที่อยากจะได้ครอบครอง หากผู้ปกครองท่านใดที่กำลังอ่านอยู่และมองหาของขวัญชิ้นพิเศษแก่ลูก ๆ หลาน ๆ ควรศึกษาเอาไว้ ไม่เพียงแค่มอบในโอกาสพิเศษเท่านั้น หากวันใดวันหนึ่งที่ลูกน้อยของเรามีพฤติกรรมที่ดีและมองแล้วว่ามาจากความพยายามของลูก ๆ ของขวัญที่คุณกำลังจะมอบให้แก่เขาจะต้องสร้างรอยยิ้มและถือเป็นกำลังใจให้พวกเขาได้กล้าทำในสิ่งที่ดีต่อไปในอนาคตอีกด้วย

4 ข้อต้องรู้สำหรับการลดความอิจฉาและเสริมพลังงานบวก

4 ข้อต้องรู้สำหรับการลดความอิจฉาและเสริมพลังงานบวก

ในยุคปัจจุบันเป็นยุคของโซเชียลมีเดียที่ผู้คนมีการติดต่อสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถเห็นชีวิตส่วนตัวที่มีการแชร์ผ่านหน้าแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook Instagram YouTube และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องดี ๆ มุมที่มีความสุข ซึ่งหลาย ๆ คนก็สามารถเกิดความรู้สึกที่ไม่พึงพอใจในตนเอง รู้สึกอิจฉาขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าหากว่าใครมีความรู้สึกดังกล่าวขึ้นมาการจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นจึงเป็นเป็นทางออกที่ดีและช่วยขจัดความรู้สึกที่ไม่เหมาะสมออกไป

  • เริ่มต้นจากการยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังเกิดความรู้สึกอิจฉา ก็ให้ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ลองสังเกตตัวเองดูว่าขณะนั้นมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความกังวล ความโกรธอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้าหากได้รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองแล้วความรู้สึกอิจฉาที่เกิดขึ้นก็จะเบาบางลดลงไปได้

 

  • ใส่ใจการเห็นคุณค่าของตนเองให้มากขึ้น ความรู้สึกที่เรามองเห็นว่าตัวตนของตนเองมีคุณค่ามากมายขนาดไหน สามารถทำอะไรได้เพื่อตนเอง เพื่อสังคมรอบข้าง จะทำให้การนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจะลดน้อยลงไปอย่างมาก เนื่องจากมีความรู้สึกที่พอใจและมีความมั่นคงให้กับตนเอง มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการ เมื่อมีปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอกมากระทบก็จะไม่ทำให้รู้สึกว่าต้องลดคุณค่าของตนเองด้วยการที่จะไปรู้สึกไม่ดีหรือหาข้อเสียของคนอื่นที่มีความรู้สึกอิจฉา

 

  • เมื่อเกิดความรู้สึกที่อิจฉาขึ้นมาแล้วให้พยายามทำให้จิตใจเกิดความสงบลงก่อน ไม่เติมเชื้อเพลิงให้กับความรู้สึกโดยสามารถเลือกไปทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความผ่อนคลาย เช่น การดูหนังฟังเพลง การทำงานฝีมือ การปลูกต้นไม้ การวาดรูป เป็นต้น เมื่อสภาพภายในจิตใจสงบลงแล้วความรู้สึกที่เป็นพลังลบต่าง ๆ ก็จะจางลงไปด้วย

 

  • ค้นหาสิ่งที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น ถ้าหากว่ารู้สึกอิจฉาคนที่มีชีวิตสุขสบาย ได้รับประทานอาหารดี ๆ มีเงินไปเที่ยวต่างประเทศ ให้ลองนึกถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความคิดเหล่านั้นขึ้นมาว่าเกิดจากการที่ต้องการมีเหมือนคนอื่นหรือต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองเป็นต้น เมื่อทราบแล้วก็ลองพิจารณาดูว่าต้องการอะไรจริง ๆ อยากมีชีวิตในรูปแบบไหนก็สามารถใช้เวลาที่มีอยู่พัฒนาตนเองเพื่อไปอยู่ในจุดที่ต้องการ 

 

เป็นอย่างไรบ้างกับ 4 ข้อที่จะทำให้ทุกคนสามารถจัดการกับอารมณ์อิจฉาเจ้าปัญหาได้ การมีวิธีและแนวทางที่ดีก็ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะได้จะได้ตัดพลังงานลบ ๆ ออกไปแล้วก็ยังสามารถได้รับพลังงานบวก ๆ กลับคืนมาให้กับตนเองด้วย

ไขข้อสงสัย!! ผมร่วงเกิดจากสาเหตุใด พร้อมวิธีแก้ไขอย่างตรงจุด

ไขข้อสงสัย!! ผมร่วงเกิดจากสาเหตุใด พร้อมวิธีแก้ไขอย่างตรงจุด

อาการผมร่วงผมบางเจอได้ในทุกเพศทุกวัย และเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้หลายต่อหลายคนขาดความมั่นใจ บางคนอาจมีอาการร่วงหนักจนคิดว่าเกิดโรคร้ายกับตนเองหรือไม่ แท้จริงแล้วอาการผมร่วงนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่คาใจของหลายคนพร้อมแนะวิธีแก้ไขอาการผมร่วงแบบฉบับบ้าน ๆ ถ้าพร้อมแล้วตามมาดูกันได้เลยค่ะ 

 

6 สาเหตุหลัก ตัวการทำให้ผมร่วง

 

  • หนังศีรษะขาดการบำรุง แห้งกร้าน 

สภาพผิวบริเวณหนังศีรษะที่ขาดการดูแลเอาใจใส่ ย่อมมีสภาพผิวที่แห้งกร้านและก่อให้เกิดอาการผิวหนังหลุดลอกจนเกิดเป็นรังแค และแน่นอนว่าสภาพผิวหนังที่ย่ำแย่ย่อมส่งผลลึกลงไปถึงรากผม ทำให้รากผมอ่อนแอ หลุดง่ายและชี้ฟูอีกด้วย 

 

  • พันธุกรรม

สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่เลี่ยงได้ยาก หากมีพ่อแม่หรือญาติที่มีอาการผมร่วง ก็อาจส่งผลทางพันธุกรรมทำให้เราผมร่วงด้วยนั้นเองค่ะ 

 

  • การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด

การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอและมีความเครียดบ่อย ๆ จะเป็นการรบกวนระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบไหลเวียนโลหิตที่จะส่งเลือดออกไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมได้ไม่เพียงพอ ทำให้รากผมไม่แข็งแรงหลุดและขาดง่ายมากขึ้นค่ะ

 

  • การแพ้ยาบางชนิด

ยารักษาโรคบางชนิดส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงานอย่างผิดปกติ ก่อให้เกิดอาการหลุดร่วงของเส้นผมได้

 

  • การรักษาโรคด้วยเคมีบำบัด

การรักษาโรคด้วยเคมีหรือรังสีบำบัดจะส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ เนื่องจากการบำบัดตัวเคมีจะเป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย แต่เช่นเดียวกันก็อาจไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์รากผมได้เช่นกันฉะนั้นจึงอาจก่อให้เกิดอาการผมร่วงได้นั่นเองค่ะ

 

  • เชื้อราบนหนังศีรษะ

เชื้อราที่สะสมตัวบนหนังศีรษะมีผลต่อสมดุลของผิว และแน่นอนว่าเป็นการรบกวนการเจริญเติบโตของเส้นผมได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดอาการคัน เกาบ่อย รากผมอ่อนแอ และทำให้เส้นผมหลุดร่วงง่ายในที่สุด

3 วิธีแก้ไขปัญหาผมร่วงด้วยตนเองง่าย ๆ 

1.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผมที่อ่อนโยนและมอบความชุ่มชื่นต่อหนังศีรษะและช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการงอกใหม่ของเส้นผม เช่นแชมพูอัญชันจากธรรมชาติ จะช่วยคงสมดุลผิวและไม่ทำให้หนักศีรษะแห้งลึกไปถึงรากผม

2.ใช้ครีมนวดหลังสระผมทุกครั้งเพื่อลดการพันกันของเส้นผม หวีง่าย ไม่เกิดแรงดึง

3.เช็ดผมให้แห้งทันทีหลังจากสระผมเสร็จ ไม่ควรทิ้งไว้นานเพราะอาจทำให้หนังศีรษะชื้นจนเกิดเชื้อราได้ ไม่แนะนำให้เป่าด้วยความร้อนเพราะจะส่งผลต่อเส้นผมและหนังศีรษะให้แห้งและฟูได้

สาเหตุของการเกิดผมร่วงนั้นมีสาเหตุที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้หลายอย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วหากมีการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะเป็นอย่างดีแล้วก็จะช่วยลดอาการหลุดร่วงลงได้มาก อย่างไรแล้วทุกคนสามารถนำ 3 วิธีการแก้ไขปัญหาผมร่วงที่เราได้แนะนำในวันนี้ไปลองปรับใช้กันได้เลยนะคะ สุขภาพเส้นผมจะต้องดีขึ้น ร่วงน้อยลงอย่างแน่นอนน

10 อาการของหญิงวัยทอง

10 อาการของหญิงวัยทอง

คงได้ยินกันบ่อยๆ กับคำแซวที่มักจะใช้กับผู้หญิงที่หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย ว่า “เป็นวัยทองหรือไง?” นั่นเป็นเพราะมันคืออาการโดดเด่นของผู้หญิงในช่วงวัย 48-52 ปีที่กำลังเข้าสู่วัยทองซึ่งเป็นวัยที่รังไข่จะหยุดสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกาย และจิตใจหลายประการ คุณผู้หญิงจะทราบได้อย่างไรว่าตนเองเข้าข่ายวัยทองแล้ว ให้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายดังนี้ 

  1. หมดประจำเดือน สังเกตจากปริมาณประจำเดือนที่ลดลง แล้วค่อย ๆ หายไปและจะสิ้นสุดการมีประจำเดือนอย่างถาวรเมื่อหมดประจำเดือนครบ 1 ปี 
  2. อารมณ์แปรปรวน  มีอาการหงุดหงิด วิตกกังวล หดหู่ บางช่วงอยากเก็บตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร คล้ายคนเป็นโรคซึมเศร้า สลับกับอารมณ์ปกติ และอาจส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันได้
  3. อาการร้อนวูบวาบ  ร้อนและเหงื่อออกได้ทั้ง ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบ และมักจะเกิดขึ้นส่วนบนของร่างกาย เช่น ใบหน้า คอ และอก โดยเฉพาะหน้าจะสังเกตอาการได้ชัดเจนมาก จะมีอาการอยู่ประมาณ 1-5 นาที ในบางรายอาจมีอาการหนาวสั่น ใจสั่นร่วมด้วย  
  4. นอนหลับยากขึ้น  อาจมีผลมาจากอาการในข้อ 2 และ 3 และอาจมีปวดเนื้อตัวร่วมด้วย ทำให้นอนหลับยาก และหลับไม่สนิท ซึ่งอาการนี้จะหายเมื่อผ่านไปสักระยะ  
  5. ไขมันในเลือดสูง เป็นผลมาจากรังไข่หยุดสร้างเอสโตรเจนซึ่งทำหน้าที่ในการลดไขมันเลว (LDL) ทำให้มีระดับคอเลสเตอรอล และไขมันเลว (LDL) เพิ่มสูงขึ้น ส่วนไขมันดี (HDL) ลดลง เกิดอาการไขมันตกค้างเกาะตามผนังหลอดเลือดจนทำให้เส้นเลือดตีบอุดตันได้ง่าย 
  6. ช่องคลอดผิดปกติ ช่องคลอดแห้ง ขาดน้ำหล่อลื่น และเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  7. กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะฝ่อลีบหย่อนตัว ปัสสาวะแสบร้อน ปัสสาวะเล็ดเมื่อหัวเราะ หรือไอ จาม กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อง่าย
  8. ผิวแห้ง ผลจากการขาดสมดุลของฮอร์โมนทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน เป็นขุย ลอก และอาจมีอาการคันร่วมด้วย 
  9. เริ่มพบกระดูกพรุน ถือเป็นภัยเงียบของวัยทอง ผู้หญิงไทยจะมีความหนาแน่นของเนื้อเยื่อกระดูกสูงสุดในช่วงอายุ 30-34 ปี จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงประมาณร้อยละ 0.3-0.5% ต่อปี จึงอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนขึ้นได้ในวัยนี้
  10. เข้าใกล้อัลไซเมอร์ เป็นช่วงวัยที่เซลล์สมองเริ่มเสื่อม จะมีอาการหลงลืมง่าย เริ่มจำชื่อคน เรื่องราวสำคัญได้ลดน้อยลง 

อย่างไรก็ตาม อาการวัยทองอาจเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้หญิงแต่ละคน การศึกษาทำความเข้าใจในสภาพการเปลี่ยนแปลงข้างต้นจะช่วยให้ผู้หญิงวัยนี้สามารถหาทางควบคุม แก้ไขอาการได้ไม่ยาก หากมีอาการมากควรได้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางหยุดยั้งอาการไม่ให้ลุกลามจนเป็นสาเหตุของโรคร้ายอื่นๆ ต่อไป 

5 เทคนิคลดความเครียด พักสมอง พักใจ คุณก็ทำได้

5 เทคนิคลดความเครียด พักสมอง พักใจ คุณก็ทำได้

เคยไหม เครียดแล้วหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร บางครั้งก็จมอยู่กับมัน เทคนิคเหล่านี้ช่วยคุณได้ ถ้าเครียดแล้วไม่มีทางออก หรือแก้ปัญหาที่เจออยู่ไม่ได้ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กันดู ปรับจูนตัวเอง พักสมอง พักใจกันง่าย ๆ ด้วย 5 เทคนิคที่ใครก็ทำได้ ช่วยลดความเครียดได้ดี แถมยังง่าย เริ่มต้นที่ตัวคุณเองอีกด้วย

นอนให้เพียงพอ

การนอนให้เพียงพอช่วยให้สมองได้พักอย่างเต็มที่ เข้านอนให้เร็วขึ้นถ้าสามารถจัดสรรเวลาได้ควรเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม และตื่นมาสัมผัสบรรยากาศยามเช้าตรู่ ราวตีห้า หรือ หกโมงเช้า แทนการนอนดึกแล้วตื่นสาย ความมหัศจรรย์ยามเช้าจะช่วยให้สมองที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สวดมนต์ ทำสมาธิ

หามุมสงบสวดมนต์ให้เสียงดังฟังชัด เอาจิตจดจ่ออยู่กับเนื้อหาของบทสวด สวดให้ยาวมากพอที่จะดึงจิตเราให้สงบลงได้ จากนั้นนั่งสมาธิต่ออย่างน้อย 10-15 นาที แล้วนอนพัก หากเลือกทำสมาธิในเวลาทำงาน สามารถหามุมสงบในออฟฟิศนั่งฝึกลมหายใจสัก 10-15 นาที ก็ช่วยให้จิตเราสงบขึ้นได้มากแล้ว

พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน

การได้พบเพื่อน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วยทำให้เราเรียนรู้ที่จะฟัง และเข้าใจคนอื่นมากขึ้นไปพร้อมๆ กับลดความสนใจเรื่องของตัวเองลงบ้าง อย่ามั่วหมกตัวเงียบดู livescore888 อยู่ลำพัง ซึ่งบางครั้งประสบการณ์ของเพื่อนก็อาจเป็นแสงสว่างให้กับเราในคราวเดียวกันด้วย

คิดบวกเข้าไว้

ในทุกปัญหามีทางออก ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสให้เราเสมอ สำคัญที่วิธีคิด วิธีมอง ในทุกครั้งที่ผจญกับความเครียดหาให้พบว่าเราเครียดเรื่องอะไร จากนั้นลองหาสาเหตุแห่งความเครียดนั้น แล้วค่อยๆเขียนลงกระดาษ เมื่อหาสาเหตุได้ การหาทางออกก็จะง่ายขึ้น จากนั้นลองเขียนออกมาว่า เราได้ประโยชน์อะไรจากปัญหาครั้งนี้บ้าง การเขียนลงบนกระดาษช่วยทำให้เราจดจ่อกับการค้นหามุมบวก ไม่ล่องลอย ไม่ฟุ้งไปกับเหตุการณ์ที่พร้อมจะดึงลงที่ต่ำ

ช่างมัน

สัจธรรม คือไม่มีใคร หรืออะไรที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทั้งหมด มีทุกข์ ก็มีสุขสลับกันไปมาไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน วันนี้กำไร พรุ่งนี้ก็อาจจะขาดทุน วันนี้รักกันอีกไม่นานก็อาจบาดหมาง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรคิด และลงมือทำในวันนี้คือ ทำให้ดีที่สุดในจุดที่เรายืน หากเราทำเต็มที่แล้วยังพบความผิดพลาด ไม่สมบูรณ์ ก็ควรจะต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็นได้บ้าง เพื่อให้เป็นฐานประสบการณ์ให้เราฝึกความเข้มแข็งต่อไป

เห็นไหมว่าไม่ยากเลย เมื่อเจอความเครียดขอเพียงตั้งสติก่อน จากนั้นก็พักสมอง พักใจ และกำจัดความเครียดด้วย 5 เทคนิคเหล่านี้ เชื่อว่าทำให้คุณยิ้มได้ ไม่เครียดด้วย

ปัญหารถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนไม่เคยรู้

ปัญหารถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนไม่เคยรู้

รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากปัญหาราคาน้ำมันแพง ประกอบกับนโยบายของรัฐที่ลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ราคารถไฟฟ้าเลยถูกลงมาก บางแบรนด์ราคาเพียงแค่ 500000 บาทเพียงเท่านั้น แต่รู้หรือไม่รถยนต์ไฟฟ้ายังมีปัญหาอยู่ ที่หลายคนไม่เคยคิดถึง ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาถึงปัญหาเพื่อประกอบการพิจารณาซื้อรถด้วย

หาสถานีชาร์จยาก

รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับรถยนต์ยังไม่พร้อม แม้ว่ามีปั๊มน้ำมันหลายแห่ง เริ่มติดตั้งหัวชาร์จไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ EV ทำให้หลายคนถอดใจใช้รถไฟฟ้า ยังเลือกใช้รถน้ำมันอยู่ ขณะที่ผู้ชอบรถยนต์ไฟฟ้าใช้วิธีการชาร์จไฟในบ้าน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เลือกชาร์จในสถานีปั๊มน้ำมัน เมื่อเดินทางไปต่างจังหวัดไกล ๆ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีข้อจำกัดที่วิ่งได้เพียง 300 – 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และสถานีชาร์จต่างจังหวัดมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพ และปริมณฑล

สถานีชาร์จมีปัญหา

แม้ว่าจะหาสถานีชาร์จเจอ ก็ใช่ว่าเราจะเป็นผู้โชคดีได้ชาร์จเสมอไป เพราะหลายปั๊มมีสถานีชาร์จน้อยมาก เพียง 1 -2 จุดเท่านั้น ต่อปั๊มน้ำมัน 1 แห่ง และเมื่อเราจะเข้าไปเสียบหัวจ่าย กลับพบว่ามีคนใช้บริการอยู่แล้ว หรือบางคนชาร์จไฟเสร็จแล้ว แต่ไม่ถอดหัวชาร์จออก เพราะไปพักดื่มกาแฟ ทานข้าว หรือเข้าห้องน้ำอยู่ ทำให้คนที่มารอใช้บริการต่อ เกิดอาการไม่พอใจ ถ่ายรูปประจานรถที่ไม่ถอดหัวชาร์จออก

ในกลุ่มเฟซบุ๊กผู้ใช้รถ EV และปั๊มปตท. มีบริการให้สามารถจองสถานีชาร์จ EV ล่วงหน้าได้ รวมทั้งให้เลือกเวลาชาร์จได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับพบว่าคนจอง ไม่มาใช้ตามเวลาที่จองไว้ เมื่อมีคนมาใช้เพราะเห็นว่าว่าง แต่กลายเป็นว่าเสียบหัวชาร์จไม่ได้ เพราะระบบชาร์จมีคิวจองไว้อยู่ และปั๊มน้ำมันบางแห่ง มีประเภทหัวจ่ายรถไฟฟ้าน้อย รองรับรถแค่บางรุ่นเท่านั้น หากมีรถมาใช้บริการ ก็อาจไม่สามารถชาร์จได้ เพราะหัวจ่ายไม่ตรงกับประเภทรถนั่นเอง และบางเคสสถานี EV ไม่สามารถชำระเงินได้ แม้ว่าจะทดลองจ่ายเงินในหลายแอปก็ตาม

ชาร์จไฟช้า

แม้ว่าเป็นเรื่องดีที่ชาร์จไฟเสร็จแล้ว มีค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก เสียเพียงหลักสิบ – หลักร้อยต่อการชาร์จไฟรถเต็ม 1 ครั้ง แต่ชาร์จ 1 ครั้งต้องแลกมากับการใช้เวลาชาร์จที่นาน หากชาร์จด้วยไฟบ้านอาจใช้เวลานานถึง 8 ชั่วโมง แต่เมื่อชาร์จที่สถานีน้ำมันจะมีบริการ Fast Charging ทำให้การชาร์จใช้เวลาประมาณ 30 – 40 นาที โดยรวมยังถือว่าค่อนข้างนานเมื่อเทียบกับรถน้ำมัน หากเลือกชาร์จที่ปั๊มจะมีค่าบริการเก็บเพิ่มขึ้นมา แต่เสียเงินเพิ่มขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับการชาร์จด้วยไฟบ้าน

รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เพื่อให้ระบบนิเวศในการใช้รถพร้อมรองรับการใช้งานทุกระดับ และควรพิจารณาให้ดีว่าจะเลือกซื้อรถไฟฟ้าหรือรถน้ำมันดี เพราะทั้งสองอย่างมีข้อดีข้อเสีย แตกต่างกันออกไป

ความทุกข์ของการมีสามีนอกใจ จัดการได้เริ่มที่ตัวคุณ

ความทุกข์ของการมีสามีนอกใจ จัดการได้เริ่มที่ตัวคุณ

สามีมีภรรยาน้อย แล้วให้เหตุผลว่าเพราะภรรยาทำงานนอกบ้านจนไม่มีเวลาให้ ก็ต้องออกไปหาความสุขใส่ตัว เขาเอาแต่คิดว่า การนอกใจภรรยาเป็นความผิดของภรรยา และการที่ผู้ชายมีภรรยาน้อยเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำกัน ทำไมถึงรับไม่ได้ ก็ในเมื่อภรรยาให้ความสุขเขาไม่ได้ เขาก็ต้องหาความสุขใส่ตัวเอง สุขแบบนี้คงไม่ดีมั้ง

พฤติกรรมของสามีข้างต้นกำลังแสวงหาความสุขบนทุกข์ของภรรยาที่ทำหน้าที่ทั้งทำงานนอกบ้าน และในบ้านรวมถึงการดูแลค่าใช้จ่ายของบ้านและส่งเสียการศึกษาของลูก ด้วยภาระงานที่เธอรับผิดชอบทำให้เบียดบังเวลาส่วนตัวไปบ้าง แต่เธอพร้อมที่จะจัดเวลาสำหรับครอบครัวเสมอ และเธอก็ทำได้แม้จะไม่บ่อยนักแต่เธอก็พยายามทำ แม้จะขมขื่นแต่เธอพยายามประคับประคองครอบครัวด้วยความอดทน ไว้ใจ เธอไว้วางใจให้เกียรติสามีมาโดยตลอดไม่เคยซักถามซอกแซก ไม่เคยแอบดูมือถือ ไม่เคยตามเช็คว่าเขาไปไหน มีบ้างที่โทรฯตามด้วยความเป็นห่วง และบ่อยครั้งก็ผล็อยหลับขณะรอสามีกลับบ้าน ชีวิตหลังแต่งงานผ่านไป 20 ปีเศษ วันหนึ่งภรรยาน้อยโทรฯมาสารภาพบอกสถานะปัจจุบันที่เธออยู่กินร่วมกันกับสามี “หนูรักพี่เขา อยู่กินกับพี่เขามาเป็น 10 ปีแล้ว พี่อยู่ส่วนพี่ หนูอยู่ส่วนหนูได้ไม๊ ”

นี่คือช่วงเวลายากที่สุดสำหรับภรรยา แต่สุดท้ายเธอเลือกใช้สติเป็นเครื่องมือนำทาง นำการปล่อยวางมารักษาใจของตัวให้เข้มแข็ง ใช้วิธีการจัดการที่ไม่ให้การกระทำของตนเองไปส่งผลกระทบเชิงลบกับใคร ควบคุมอารมณ์ขุ่นมัวไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเองและคนทีเกี่ยวข้อง ไม่เผยแพร่เรื่องราวออกไปในวงกว้างเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ พยายามปกป้องเกียรติ เปิดทางถอยไว้ให้สามีเพื่อที่เมื่อถึงวันหนึ่งเมื่อเขาคิดได้จะได้มีที่ยืนในสังคมได้อีกครั้ง

ถึงวันนี้ภรรยาน้อยได้จากไปแล้วและดูเหมือนความเป็นครอบครัวจะคืนกลับมาได้บ้างแต่มันคงไม่สามารถสมานรอยร้าวให้กลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม ความอยากได้ใคร่สุขเป็นการเฉพาะตน พร้อมนำความเดือดร้อนมายังผู้อื่นแบบนี้คงไม่สามารถเรียกว่าความสุขได้ ความสุขที่แท้จริงควรเป็นการกระทำที่ทำให้ตัวเราเกิดสุขโดยไม่สร้างทุกข์ ความเดือดร้อนใจ ความเสียหายใดๆให้กับผู้อื่น จากสถานการณ์ข้างต้นคงต้องเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัวโดยแท้ ในขณะเดียวกันภรรยาซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบในบททุกข์นี้กลับได้เรียนรู้การเข้าถึงความสุขได้มากที่สุด วันนี้เธอขอบคุณตัวเองที่ใช้สติในการจัดการกับปัญหา เธอเรียนรู้การปล่อยวางและให้อภัย เธอรับรู้ว่าได้ทำทานอันยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่า อภัยทาน แบบนี้จึงจะเรียกว่า ความสุข อย่างแท้จริง

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้สารพัดวิธีสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ แต่ต้องตระหนักด้วยว่าวิธีการเหล่านั้นต้องไม่หยิบยื่นความทุกข์ให้กับคนรอบข้าง หวังให้เรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับผู้ชายที่อยากเสพสุขเฉพาะตัวแม้คนที่รับทุกข์จะไม่ได้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาแต่ขอให้รู้ว่าคุณได้ฝากรอยทุกข์ รอยบาปไว้บนเส้นทางสุขที่ไม่สุจริตเหล่านั้นแล้ว อย่าเรียกความเห็นแก่ตัวว่าความสุขเลย เพราะคุณจะไม่มีโอกาสได้พบความสุขที่แท้จริงไปตลอดชีวิต

7 เทคนิคถนอมดวงตาสุขภาพดี

7 เทคนิคถนอมดวงตาสุขภาพดี

ดวงตาและการมองเห็น คือ หัวใจสำคัญหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ เราวิ่งวุ่นดูแลร่างกายส่วนอื่นแต่กลับลืมหัวใจดวงนี้กระทั่งภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน เราจะถนอมดวงตาให้สามารถใช้งานได้ตลอดอายุขัยได้อย่างไรบ้าง เรามี 7 เทคนิคมาฝากกัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาโดยตรง ได้แก่การขยี้ การใช้อุปกรณ์เขี่ยเศษผง เป็นต้น เพราะมีโอกาสทำให้ดวงตาติดเชื้อ เยื่อบุตาฉีกขาด เกิดแผลในลูกตาได้โดยง่าย หากจำเป็นควรใช้น้ำยาล้างตาที่ได้มาตรฐานรับรอง และหมั่นล้างมือให้สะอาดเสมอ

พักสายตาเป็นระยะ ไม่ควรใช้สายตาต่อเนื่องกันเกิน 1 ชั่วโมง เช่น อ่านหนังสือ ดูทีวี ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ดูคลิป,อ่าน e-book หรือขับรถนาน ๆ เมื่อรู้สึกดวงตาอ่อนล้าให้พัก 5-10 นาที ด้วยการหลับตาสักครู่ หรือทอดสายตาไปไกล ๆ โดยไม่ต้องเพ่งจดจ้องสิ่งใด หรือบริหารตาด้วยการเหลือบตาขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา สัก 10 ครั้ง

สวมอุปกรณ์ป้องกันเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุกับดวงตาถึงขั้นตาบอดได้ เช่น ใส่หน้ากากทุกครั้งขณะทำงานเจียร ตัดเหล็ก, ใส่แว่น หมวกกันน็อค เมื่ออยู่ในที่ที่มีฝุ่นละออง เขตก่อสร้าง และขับขี่จักรยานยนต์, สวมแว่นกันแดดเมื่อปะทะแสงแดดจัด

ลดการปะทะแสงสีฟ้า แสงสีฟ้าเกิดจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ ควรต้องหาอุปกรณ์ป้องกัน ประเภทแว่น, ฟิล์ม หรือแผ่นกรองแสงที่ช่วยลดแสงสีฟ้า (blue light cut) ,ปรับแสงสว่างหน้าจอไม่ให้จ้าเกินไป และควรต้องพักสายตาเป็นระยะด้วย

ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยบำรุงสายตาเป็นพิเศษด้วยอาหารที่อุดมไปด้วย วิตามินเอ ช่วยปกป้องกระจกตา ทำให้มองเห็นชัดในที่มืด มีมากในอาหารประเภทผัก ผลไม้สีเหลือง หรือกลุ่มที่สังเคราะห์แสงได้ จะมี “แคโรทีนอยด์” (Carotenoid) ช่วยสร้างวิตามินเอ เช่น ฟักทอง ตำลึง แครอท ผักบุ้ง สับปะรดภูเก็ต มะยงชิด ลูกพลับ มะเขือเทศราชินี เป็นต้น นอกจากนี้ วิตามินซี และอี ก็ยังมีส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อม และช่วยบำรุงประสาทตาด้วย

งดการสูบบุหรี่ ลด งด เลี่ยงการสูบเพราะมีความเสี่ยงต่อโรคต้อกระจก ,โรคจอประสาทตาเสื่อม,โรคม่านตาอักเสบ, โรคเบาหวานขึ้นตา หรือ โรคตาแห้ง

ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ ตรวจด้วยตัวเองด้วยการเอามือปิดตาทีละข้างสังเกตการณ์มองเห็นว่ายังชัดเจนและดวงตาทำงานได้ดี และไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กละเอียดเป็นประจำทุกปี โรคเบาหวาน ความดันสูง และโรคหัวใจ มีผลต่อสุขภาพดวงตาด้วยเช่นกัน

ดวงตาคืออวัยวะที่เราจะทอดทิ้งไม่ได้ หมั่นศึกษาหาข้อมูลเรียนรู้เรื่องดวงตา ปรึกษาแพทย์เป็นประจำช่วยให้การดูแล ป้องกัน รักษาได้ถูกต้อง ตรงจุด ช่วยถนอมดวงตา และประหยัดค่ารักษาได้มาก

คน 6 ประเภทที่ควรหนีให้ไกล

คน 6 ประเภทที่ควรหนีให้ไกล

เราสามารถกำหนดสิ่งแวดล้อมเชิงบวกให้กับตัวเราได้ด้วยการหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้คนที่ยัดเยียดมลพิษทางความคิดและอารมณ์ให้กับเรา คน 6 ประเภทที่เราควรหลีกเลี่ยงมีใครบ้าง

มองโลกแง่ลบ คนมองลบจะเห็นปัญหาเป็นความมืดดำและมักเพ่งโทษคนอื่น ส่วนคนมองบวกจะเพ่งหาแสงสว่างด้วยความเชื่อว่าจะมีทางออก คนหนึ่งปิดโอกาสอีกคนหาโอกาส คนคิดลบจะมองเรื่องรอบตัวแย่ไปหมด ชีวิตขาดสีสัน ไม่สนุกกับการเรียนรู้เรื่องท้าทายใหม่ ๆ ขาดความคิดสร้างสรรค์ เป็นคนช่างเครียด หงุดหงิดง่าย ช่างวิพากษ์วิจารณ์ อาจมีเพื่อนน้อย เป็นคนไม่น่าคบ อยู่ด้วยนาน ๆ จะถูกดูดพลังออกไปโดยไม่รู้ตัว

คนเห็นแก่ตัว คนประเภทนี้จะมองเห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ท่าน เอาเปรียบคนอื่น ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ได้มานั้นจะนำความเดือดร้อนมาให้ใครหรือไม่ ไม่มีความคิดเกื้อกูล ขาดความเมตตา ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเปลืองใจเปลืองตัว

คนขี้โกหก เลิกคบทันทีเพราะเราจะไม่มีทางพบความจริงจากคนเหล่านี้ เขาพร้อมทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองรอด รุ่งเรือง มุ่งหาประโยชน์เข้าตัวด้วยเรื่องราวที่สร้างขึ้น นำความเดือดร้อนสู่สังคมวงกว้างได้ง่าย

คนขี้นินทาว่าร้าย เจอหน้าใครก็ชวนเม้าท์ มองเรื่องคนอื่นเท่าภูเขาเรื่องของเราเท่าเส้นผม เป็นฤาษีแปลงสาสน์ แต่งเติมเสริมเรื่องให้บานปลาย เป็นชนวนทำให้เกิดความบาดหมาง แตกแยก ทำลายความสัมพันธ์อันดี รวมตัวกับคนประเภทนี้จะเสียภาพพจน์และถูกเหมารวมว่าเป็นคนประเภทนั้นไปด้วย ผู้คนจะรักษาระยะห่าง ขาดความไว้วางใจ และระวังที่จะเข้าใกล้ จนถูกกันออกจากสังคมในที่สุด

คนขี้วีนโวยวาย พื้นฐานคนเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่เลี้ยงดูแบบตามใจ ขาดการเอาใจใส่ดูแล ใช้เงินแก้ปัญหา ทำให้ติดนิสัยเอาแต่ใจ ไม่ใส่ใจคนอื่น จะเอาอะไรต้องได้ ไม่ชอบให้ขัดใจ ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เป็นนักสร้างมลพิษทางอารมณ์ ไปไหนก็วงแตก ยิ่งเข้าใกล้อารมณ์ยิ่งขุ่นมัว

คนขี้บ่น แม้จะประสงค์ดี แต่ถ้าบ่นบ่อยจิตจะตก เสียบรรยากาศ สร้างความรำคาญหงุดหงิดใจมาให้คนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่ดีแต่บ่นแต่ไม่ทำ

ภูมิต้านทานในการอยู่ร่วมกันในสังคมของคนเราไม่เท่ากัน หากเราภูมิต้านทานต่ำ(หัวอ่อน)แล้วเข้าใกล้กับคน 6 ประเภทข้างต้นก็มีโอกาสมากที่จะลากชีวิตเราลงสู่ที่ต่ำ จงเลือกคบคน รู้จักเข้าสังคม ถ้าพบคนที่เป็นมลพิษต้องคิดหาทางเลี่ยง อย่าให้เขาเหล่านั้นมามีอิทธิพลเหนือชีวิตเราได้