กาแฟ ไม่ได้มีดีแค่สดชื่น

กาแฟ ไม่ได้มีดีแค่สดชื่น

เชื่อว่าสำหรับหลาย ๆ คน กาแฟคือสิ่งที่เติมอารมณ์ให้เต็มก่อนออกไปเผชิญโลกของวันนี้ และเป็นยาดีแก้อาการเฉื่อยในช่วงบ่าย หรือสำหรับบางคน การดื่มกาแฟคือช่วงเวลาพิเศษที่จะได้พักฟังเพลง เอนหลังดูมือถือ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ไหนก็มักจะมีกาแฟเสมอ แต่กาแฟไม่ได้มีดีแค่เติมเต็มอารมณ์ของเรา กาแฟยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีก อย่างเช่น

เพิ่มโดพามีน

โดพามีน คือสารสื่อประสาทในสมองที่ทำหน้าที่ให้ความรู้สึกมีความสุข มีพลังและมีสมาธิ โดพามีนยังมีส่วนในเรื่องของความจำ การเรียนรู้ การแก้ปัญหา โดยคาเฟอีนจะไปยับยั้งกระบวนการเรียกโดพามีนกลับ ทำให้โดพามีนอยู่ในร่างกาย

ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น

คาเฟอีนในกาแฟจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนกลาง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย (Metabolism)

เลือดไหลเวียนดีขึ้น

คาเฟอีนจะทำให้หัวใจของเราเต้นแรงขึ้น เลือดลมสูบฉีด ระบบไหลเวียนเลือดถูกกระตุ้น เลือดเป็นตัวนำพาสารต่างๆและออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะในร่างกาย ถ้าเลือดไหลเวียนดีร่างกายก็ทำงานได้ดีนั่นเอง

บรรเทาอาการปวดศีรษะ

คาเฟอีนในกาแฟไม่ใช่ยาแก้ปวดโดยตรง แต่จะมีผลทางอ้อมเท่านั้น เพราะคาเฟอีนช่วยกระตุ้นการทำงานของหลอดเลือดไม่ให้ขยายตัวมากเกินปกติ อาการปวดจึงทุเลา นอกจากนี้กลิ่นหอมของกาแฟก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

ป้องกันโรคเบาหวาน

จากการวิจัยพบว่ากาแฟสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของหัวใจ ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดหมุนเวียนดี ช่วยขับปัสสาวะ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่กำจัดสารพิษต่างๆ ในร่างกาย แต่การดื่มกาแฟควรเป็นเป็นกาแฟดำ ไม่ผสมนมหรือน้ำตาล

ลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์

คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้สมองตื่นตัวและทำงานมากขึ้น ความจำเลยดีขึ้น

ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า

ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า จะมีการอักเสบของเซลล์ประสาทบางตัว คาเฟอีนจะลดอาการอักเสบและความไม่สบาย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น นอกจากนี้กาแฟทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า อารมณ์จึงดีไปด้วย

ใช้เพื่อการสังสรรค์

นัดดื่มกาแฟกับเพื่อน ๆ ในร้านกาแฟสักแห่งในช่วงบ่ายอ่อน ๆ ก็มีความสุขและผ่อนคลายไม่แพ้การสังสรรค์แบบอื่น และกาแฟจะเสิร์ฟได้ทุกช่วงเวลาซึ่งต่างจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

กาแฟไม่ได้มีแค่สดชื่นหายง่วงเท่านั้น คาเฟอีนในกาแฟยังหลั่งสารแห่งความสุขคือ โดพามีน ลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์และภาวะซึมเศร้า ใช้ในการสังสรรค์ และในทางอ้อม ช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี แต่เพื่อป้องกันอาการนอนไม่หลับและอาการเหนื่อยล้า เราไม่ควรดื่มมากเกินไป การที่จะรู้สึกสดชื่นและมีพละกำลังทั้งวันนั้น เราควรออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอและผ่อนคลายความเครียดอย่างสม่ำเสมอ

แชร์ข้อดีของการ Social Detox ที่ควรลองทำสักครั้ง

Social Detox

เคยไหม ? ที่แต่ละวันต้องเสียเวลาหลายชั่วโมง โดยแทบไม่ได้ทำอะไรเพราะเอาแต่ไล่ติดตามข่าวสารและอัปเดตเรื่องราวน่าสนใจผ่านโซเชียลมีเดีย หรือเคยไหม? ที่รู้สึกหดหู่หรือนำชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น จนทำให้เครียดหรือรู้สึกท้อแท้ ซึ่งรู้หรือไม่ว่าปัญหาเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดขึ้นเพราะการเสพโซเชียลมีเดียมากเกินไปจนทำให้เกิดปัญหาตามมาทั้งปัญหาด้านสุขภาพ ด้านจิตใจ จนทำให้หลายคนหันมารักษาด้วยการทำ Social Detox หรือ Social Detoxification เพื่อลดผลกระทบที่อาจส่งผลเสียต่อกายและใจในระยะยาว

ทำความรู้จัก Social Detox คืออะไร

คนจำนวนมากอาจไม่เข้าใจว่าการทำ Social Detox คืออะไร โดยนี่คือวิธีบำบัดการเสพติดโซเชียลมีเดียวิธีหนึ่ง ด้วยการตัดขาดช่องทางโซเชียลมีเดียหรือลดการใช้โซเชียลมีเดียลง เรียกง่าย ๆ คือการพาตัวเองออกมาจากการเสพโซเชียลมีเดียมากเกินไป อาจไม่ถึงขั้นต้องตัดขาดแต่ใช้งานเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพราะการเสพข่าวสาร ความคิดเห็น รวมถึงการติดตามชีวิตของผู้อื่น แม้ภายนอกจะดูเหมือนมีความสุข แต่แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้กลับมีผลต่อจิตใจ โดยเฉพาะการติดตามความคิดเห็นในแง่ลบ การถูกวิจารณ์รูปลักษณ์ภายนอก รวมถึงการเสพข่าวจนเกิดเป็นความเครียด เป็นต้น นอกจากส่งผลต่อจิตใจแล้วยังส่งผลต่อร่างกาย เพราะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมถอย ไม่ว่าจะเป็น จอประสาทตาเสื่อมจากแสงสีฟ้าที่มาจากสมาร์ตโฟน พักผ่อนน้อย รวมถึงอาการเจ็บชาบริเวณข้อมือ ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวการทำให้เกิดอันตรายในระยะยาว

แชร์ข้อดีของการทำ Social Detox

การทำ Social Detox มีข้อดีมากมาย ที่เห็นได้ชัดคือสุขภาพร่างกายดีขึ้น เพราะมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น นอนหลับสนิท และไม่ต้องก้มหน้าเล่นสมาร์ตโฟนครั้งละนาน ๆ สำหรับด้านจิตใจแน่นอนว่าย่อมมีสมาธิมากขึ้น สามารถโฟกัสกับการเรียนหรือการทำงานได้มากขึ้น อีกทั้งสภาพจิตใจยังดีขึ้นเพราะไม่ต้องเครียดกับคำวิจารณ์หรือการนำชีวิตคนอื่นมาเปรียบเทียบกับชีวิตตนเองนั่นเอง

สำหรับวิธีง่าย ๆ สำหรับผู้เริ่มต้นทำ Social Detox คือการปิดสัญญาณแจ้งเตือนบางแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น หากต้องการท่องโลกโซเชียลควรจำกัดเวลา หรือช่วงวันหยุดควรหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงฯลฯ โดยวิธีเหล่านี้แม้ว่าเริ่มต้นจะรู้สึกยากจนไม่อาจอดทนไหว แต่รับรองว่าหากใช้เวลาค่อย ๆ พาตัวเองออกจากโลกโซเชียลมีเดีย เชื่อว่าการทำ Social Detox ต้องสำเร็จแน่นอน

เมื่อรู้แบบนี้ใครที่รู้ตัวว่าตนเองเสพติดโซเชียลมากเกินไป แนะนำให้หาเวลาทำ Social Detox ด้วยการพาตนเองค่อย ๆ ออกจากโซเชียลมีเดียหรือจำกัดการเล่นให้ไม่รบกวนเวลาส่วนตัว หากสามารถทำได้เชื่อว่านอกจากส่งผลดีต่อสภาพจิตใจแล้วยังดีต่อสุขภาพกายในระยะยาวอีกด้วย

เจาะลึก ! อาชีพนักเขียนอิสระ (Freelance Writing) ที่หลายคนยังไม่รู้

Freelance Writing

“นักเขียนอิสระ” คือ อาชีพยอดนิยมที่ถูกแนะนำในฐานะที่เป็นอาชีพที่มีการทำงานแบบ Remote Work คือสามารถทำงานจากสถานที่ใดก็ได้เพียงเป็นผู้ที่สามารถอ่านออกเขียนได้ก็สามารถสร้างรายได้เข้ากระเป๋าแบบง่าย ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วอาชีพนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด นักเขียนอิสระ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามการแบ่งประเภทงานเขียน คือ Fiction (การเขียนบทประพันธ์ นวนิยาย นิทาน) และ Non fiction (การเขียนเชิงสารคดี/ให้ความรู้) โดยนักเขียนแต่ละประเภทสามารถแบ่งออกเป็นสาขาย่อยได้อีกหลายสาขา เช่น นักเขียน Fiction แบ่งเป็น นักเขียนนิยาย, นักเขียนนิทานและนักเขียนร้อยแก้ว ร้อยกรอง และนักเขียน Non fiction แบ่งเป็น นักเขียนบทความทั่วไป เซียนสเต็ป สุขภาพ อาหาร การใช้ชีวิต และนักเขียนบทความ SEO

รายได้ของนักเขียนอิสระมีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นักเขียนนิยายอาจเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์จากการอ่าน หรือได้รับรายได้จากการขายไปสร้างเป็นภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์หรือการ์ตูน ส่วนนักเขียนบทความ SEO อาจได้รับรายได้จากการรับจ้างเขียนบทความ หรือได้รับรายได้จากการทำ Affiliate Marketing หรือการขายคอร์สสอน เป็นต้น ทำให้รายได้ของนักเขียนอิสระจึงมีตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักล้านได้

ข้อดี – ข้อเสีย ในการประกอบอาชีพนักเขียนอิสระ

ข้อดีของการเป็นนักเขียนอิสระ คือ ความอิสระในการทำงานที่ช่วยให้เกิดความสร้างสรรค์มากกว่าการทำงานประจำแต่ก็มีข้อเสียตรงที่รายได้ไม่แน่นอนและหากเป็นผู้ที่ไม่วางแผนการทำงานให้ดีอาจทำให้อาชีพนี้จบลงง่าย ๆ เช่นกัน

อยากเป็น นักเขียนอิสระ ต้องทําอย่างไร?

  1. ค้นหาตัวเองให้เจอ สิ่งแรกที่ควรทำ คือการตรวจสอบความถนัดของตัวเองว่ามีความถนัดทางสายไหนมากกว่ากันด้วยการลงมือเขียนงานทั้ง 2 ประเภท จากนั้นให้คนใกล้ตัวลองอ่านและให้ความเห็นว่างานแบบไหนดีกว่ากัน รวมถึงสังเกตตัวเองด้วยว่าเวลาเขียนงานประเภทไหนรู้สึกดีกว่ากัน แต่หากรู้สึกไม่ดีกับการเขียนงานทั้ง 2 ประเภท อาจเป็นเพราะไม่มีความถนัดในการเขียนได้
  2. เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงานเขียน การเขียนงานให้ออกมาดีไม่ได้มีเพียงการวางโครงเรื่อง การหาข้อมูลแต่หมายความรวมถึงการเรียบเรียงประโยค การสะกดคำที่ถูกต้องเพราะเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการเขียน
  3. ฝึกฝน แก้ไขและพัฒนา การจะเป็นนักเขียนอิสระที่สามารถสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพจะต้องผ่านการฝึกฝน แก้ไขข้อบกพร่องในการเขียนและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
  4. หาช่องทางเผยแพร่งานเขียน เมื่อเขียนงานออกมาแล้วก็ต้องหาช่องทางในการเผยแพร่ผลงานด้วย สำหรับงานเขียนเชิงนวนิยายสามารถโพสต์งานเขียนลงในเว็บไซต์ Dek-D, Joylada, ธัญวลัย, Meb, Fictionlog และ แจ่มใส ส่วนงานเขียนแบบ Non fiction สามารถนำบทความไปโพสต์ได้ใน Wikipedia, Blockdit, Pantip และ Facebook

นักเขียนอิสระ อาชีพที่เริ่มต้นง่าย ใครก็สามารถทำได้เพียงหมั่นฝึกฝน เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเภทงานเขียนและนำผลงานเผยแพร่ลงช่องทางที่เหมาะสมก็สามารถสร้างรายได้เข้ากระเป๋าได้

สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนจะซื้อรถ

สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนจะซื้อรถ

รถเป็นสิ่งของขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินจำนวนหลายแสนถึงหลายล้านบาทในการหามา เพื่อแลกกับความคุ้มค่าในเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทางไปทำงานทุกวัน และยังใช้ในการสร้างรายได้ เช่นหลายคนที่ประกอบอาชีพเป็นเซลล์ต้องไปหาลูกค้าที่ต่าง ๆ แต่ก่อนที่จะซื้อรถสักคันคุณต้องพิจารณาถึงเหตุผลและหาข้อมูลให้รอบด้านก่อน ดังนี้

1. ความจำเป็น
หากคุณยังอยู่ในช่วงของการตั้งตัวหลังเรียนจบใหม่และสามารถเดินทางโดยรถประจำทางได้ ความจำเป็นในการซื้อรถ จะน้อยกว่าคนที่ต้องซื้อใช้เป็นรถคันเดียวในบ้าน เพื่อไปทำงาน พาพ่อแม่ไปหาหมอ พาทั้งครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด ฯลฯ

2. ความสามารถในการจ่าย
เคยมีผู้กล่าวไว้ว่าซื้อรถแล้วก็คือมีแต่ลด เพราะหลังซื้อรถแล้ว คุณจะมีหนี้สินขึ้นทันที หากขายก็จะกลายเป็นรถมือสอง มูลค่าก็จะตกลงไปหลายแสนถึงหลายล้านบาท ทั้งนี้หากตั้งใจจะซื้อก็ต้องคิดว่าจะซื้อด้วยเงินสดหรือเงินผ่อน ซึ่งจะต้องมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงและใช้เวลาชำระนานหลายปีด้วย

3. เทคโนโลยีของรถ
ปัจจุบันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากระบบที่ใช้น้ำมันและก๊าซมาเป็นระบบไฟฟ้า หากคุณอยากประหยัดค่าน้ำมันโดยเน้นการใช้ไฟฟ้าก็อาจจะต้องรอระยะเวลาอีก 1-2 ปีเพื่อซื้อรถ แต่ราคารถก็จะสูงกว่าแบบที่ใช้น้ำมันเช่นกัน

4. ค่าดูแลรถ
นอกจากค่าน้ำมันแล้ว ค่าใช้จ่ายของรถที่ตามมา ได้แก่ ค่าอะไหล่ ค่าน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ ยาง ค่าประกันรถยนต์ พรบ. ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นกับรถแต่ละรุ่นและแพ็กเก็จที่คุณเลือก เมื่อซื้อรถมือหนึ่งหรือมือสองด้วย คุณจึงต้องสำรองเงินไว้เพื่อสิ่งเหล่านี้จะได้ไม่มีปัญหาทางการเงินในอนาคต

5. พื้นที่จอดรถ
หลายคนที่มีรถแต่ไม่มีที่จอดรถ ก็จำเป็นต้องไปจ่ายค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ลานจอดรถต่าง ๆ เป็นภาระในระยะยาวอีกด้วย นอกจากนี้ หากไปในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ในช่วงเสาร์อาทิตย์ก็อาจต้องวนหาที่จอดรถนาน ๆ เกิดการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงและเสียเวลามากกว่าเดินทางไปด้วยระบบรถสาธารณะด้วย

6. ขนาดรถ
ก่อนเลือกยี่ห้อรถ ต้องเลือกขนาดว่าต้องการใช้คนเดียวหรือสำหรับบรรทุกคนทั้งครอบครัว หรือเพื่อทำการค้าที่ต้องมีการบรรทุกสิ่งของหนักบ่อย ๆ เพราะรถแต่ละคันถูกออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานต่างกัน

จะเห็นได้ว่ามีประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณาก่อนการซื้อรถหลายด้าน แม้รถจะให้ความสะดวกแก่คุณ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายและสิ่งที่ต้องดูแลมิใช่น้อย ขอให้พิจารณาอย่างรอบด้าน ปรึกษาคนที่มีความรู้และชำนาญเรื่องรถและเครื่องยนต์ก่อนตัดสินใจซื้อรถ จะได้ลดปัญหาที่ตามมาภายหลังได้

คำว่าครอบครัวไม่จำเป็นต้องจำกัดเฉพาะแค่พ่อแม่ลูกเท่านั้น

คำว่าครอบครัวไม่จำเป็นต้องจำกัดเฉพาะแค่พ่อแม่ลูกเท่านั้น

ครอบครัวเป็นหนึ่งในคำพูดที่นำมาซึ่งพลังแห่งความอบอุ่น แต่คำว่าครอบครัวแท้จริงแล้วไม่ได้จำกัดเพียงแค่พ่อแม่ลูกเพียงอย่างเดียวนั้น เนื่องจากในยุคปัจจุบันคำว่าครอบครัวถูกจำกัดความขึ้นใหม่ ซึ่งใช้เพื่อเรียกหรือนิยามเรื่องราวของคนที่อยู่ด้วยกันด้วยความรักและความเข้าใจ จะมีรูปแบบใดบ้างดังนี้

1.Single Parent
พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวคือความสัมพันธ์ครอบครัวที่เกิดจากการจำยอมเลี้ยงดูบุตรคนเดียว ไม่ว่าเหตุจะมาจากการหย่าร้างหรือจากการสูญเสีย อีกทั้งในปัจจุบันเรายังสามารถพบเห็นได้มากขึ้นในเรื่อย ๆ ทั้งการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว

2.Homosexuality Parents
การชอบเพศเดียวกันอาจเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้ยาก ทว่าในปัจจุบันความสัมพันธ์ของคนสองคนที่อยู่ด้วยกันด้วยความรัก ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยทำให้ครอบครัวหลายครอบครัวกลายเป็นหนึ่งในครอบครัวที่มีความสุขได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความรักจากหญิงรักหญิงหรือชายรักชายที่รับเด็กมาเลี้ยงหรือเป็นลูกติดจากใครคนใดคนหนึ่งก็ได้เช่นกัน

3.Adopting
ครอบครัวที่ไม่สามารถผลิตทายาทได้ การรับเด็กมาเลี้ยงก็เป็นอีกหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยให้ครอบครัวสมบูรณ์แบบและกลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่นได้ ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายในยุคปัจจุบันการรับพวกคุณทำนั้นสามารถทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้นแล้ว

4.Life Partner
ความสัมพันธ์ครอบครัวในรูปแบบนี้เข้าใจยากสักหน่อย เพราะเป็นรูปแบบของการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีข้อผูกมัดเรื่องของการแต่งงานหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ไร้สถานะทางทะเบียนหรือคำนำหน้า เพียงแค่อยู่ร่วมกันด้วยความรักความสัมพันธ์ที่มีให้กัน ก็เรียกว่าครอบครัวได้เช่นกัน

5.Divorced
การหย่าร้างในปัจจุบันมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าการหย่าร้างก็ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าเด็กที่พบเจอกับปัญหาเรื่องการหย่าร้างนั้นจะเป็นเด็กมีปัญหา ขาดความรักความอบอุ่นเสมอไป ซึ่งในทางตรงกันข้ามการหย่าร้างก็สามารถสร้างครอบครัวที่วิเศษได้เช่นกัน เพราะในบางคู่สามารถใช้ชีวิตแบบครอบครัวได้ดีมากกว่าการใช้ชีวิตแบบแต่งงาน

6.Transgender
ในอดีตอาจพบว่าเพศชายต้องเป็นพ่อหรือเป็นหัวหน้าครอบครัว ส่วนเพศหญิงต้องทำหน้าที่เป็นแม่ ดูแลบ้านและดูแลลูกเท่านั้น ทว่าในปัจจุบันคำว่าพ่อและแม่สามารถสลับกันได้ เนื่องจากการศัลยกรรมแปลงเพศทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้นจึงทำให้คำว่าพ่อไม่ได้จำกัดเพียงเพศชายเสมอไป ส่วนคำว่าแม่ก็ไม่ได้จำกัดเพียงเพศหญิงเช่นกัน

คำว่าครอบครัวเป็นคำที่สื่อถึงความรู้สึกของคนสองคนที่มีให้กันและกัน อันเกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไข การรับมาเลี้ยง หรือจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แต่ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นทางเลือกที่นำไปสู่คำว่าครอบครัว เพราะคำว่าครอบครัวไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด หากมีความรัก ความห่วงใย ความอบอุ่นให้กันและกันเสมอ ก็ถือเป็นรครอบครัวได้ทั้งสิ้น อีกทั้งสิ่งนี้ยังจำเป็นต้องรักษาไว้อย่างดีอีกด้วย

สาเหตุที่ขอกู้ธนาคารแล้วไม่ผ่าน

สาเหตุที่ขอกู้ธนาคารแล้วไม่ผ่าน

หลายคนอาจเคยประสบปัญหายื่นขอกู้สินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบุคคลไปจนถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และถูกปฏิเสธคำขอกู้สินเชื่อ ซึ่งบ่อยครั้งที่ผู้ให้บริการไม่ได้แจ้งถึงสาเหตุที่กู้ไม่ผ่าน ในบทความนี้เราจะมาไขข้อสงสัยนี้กัน

สาเหตุแท้จริงที่กู้ไม่ผ่านนั้น อยู่ที่เรื่องของเอกสารเป็นหลัก ตัวผู้กู้เองย่อมรู้ดีว่า เอกสารของเราน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ถ้าให้เป็นคะแนนระหว่าง 1 – 10 คุณคิดว่าเอกสารเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือที่ตัวเลขใด เอกสารประกอบการกู้สินเชื่อจะมีความน่าเชื่อถือและอยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่ใช่การไปจ้างใครมาตกแต่งบัญชีให้สวยงาม เพราะแบบนี้ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน

หลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อแทบทุกประเภทจะดูที่ “เงินออม” และ “ความสามารถในการผ่อนชำระ” ถ้าตอบโจทย์ 2 ข้อนี้ผ่าน โอกาสที่สินเชื่อจะผ่านก็มีมากขึ้น ขยายความได้ดังนี้

1. เงินออม
ผู้คนส่วนใหญ่ที่กู้สินเชื่อไม่ผ่าน ก็เพราะไม่มี “วินัยการออม” ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน ลองดู Statement บัญชีรับเงินเดือนของคุณ เป็นแบบนี้หรือเปล่า สิ้นเดือนเงินเดือนเข้า รายการถัด ๆ มาคือ รายการถอนเงินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงปลายเดือนใหม่เงินเดือนเข้า แล้วก็ถอนเงินอย่างต่อเนื่องอีก

คำถามคือ ถอนแล้วไปไหน? หากถอนแล้วไปฝากอีกบัญชี ไปไว้ในประจำ, ไปซื้อกองทุน, ไปเทรดหุ้น แบบนี้ถือว่ามีทั้งการออมและการลงทุน ซึ่งทางธนาคารมักให้คะแนนบวก มีโอกาสกู้ผ่านสูง

แต่ถ้าเจ้าของบัญชี ถอนแล้วไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ ถือว่าเป็นการให้รางวัลตนเอง ไม่เคยเก็บเงินออมเลย แบบนี้ก็ยากแล้ว เพราะไม่มีการออม โอกาสปฏิเสธเรียกว่าเห็นมาแต่ไกล

2. ความสามารถในการผ่อนชำระ
ความสัมพันธ์ระหว่าง “วงเงินกู้” กับ “ระยะเวลากู้” โดยมีตัวแปรคือ “อัตราดอกเบี้ย” จะได้ผลลัพธ์คือ ยอดผ่อนต่อเดือน

ความสามารถในการผ่อนชำระจึงดูที่ Statement บัญชีของคุณ ถ้าคำนวณออกมา ยอดผ่อนเดือนละ 8,000 บาท แต่เงินเฉลี่ยในบัญชีของคุณอยู่ที่ 2,000 บาท หรือ 200 บาทแทบทุกเดือน รับประกันได้เลยว่า “กู้ไม่ผ่านแน่นอน!” เพราะอนุมานได้ว่าในแต่ละเดือนคุณยังไม่พอใช้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อน จริงไหม?

รู้แบบนี้แล้ว คุณจึงต้องวางแผนชีวิตตั้งแต่วันนี้ เพราะสินเชื่อจะพิจารณา Statement ย้อนหลังประมาณ 6 เดือน หรือ 1 รอบบัญชี หากคุณไม่เคยออมก็ต้องเริ่มออม สร้างวินัยการเงินทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเกิดความน่าเชื่อถือในเอกสารประกอบการขอกู้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหลักการเบื้องต้นของการกู้สินเชื่อ รายละเอียดลึก ๆ ต้องไปปรึกษาผู้ให้บริการสินเชื่อ

จงอย่าลืมว่า “ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ แต่ถ้าเกิดต้องเป็นหนี้ ก็ควรเป็นหนี้เท่าที่จำเป็น” ด้วย จึงจะทำให้มีวันที่ปลดหนี้ได้โดยไม่นานเกินไป

ครอบครัวที่มีลูกเล็กต้องระวังอันตรายจากของใช้อะไรบ้าง

ครอบครัวที่มีลูกเล็กต้องระวังอันตรายจากของใช้อะไรบ้าง

เด็กเล็กเป็นวัยที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ ขาดความระมัดระวังและไม่รู้ถึงภัยอันตรายจากของใช้ต่าง ๆ ภายในบ้าน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ใหญ่ในทุกครอบครัวต้องสอดส่องดูแล เพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ จากของใช้ทั่วไปในบ้าน ดังนี้

1. หมอนและผ้าห่ม
เด็ก ๆ ที่มีพี่น้อง มักเล่นเกมส์กันจากของเล่นบนที่นอน เช่น เล่นผีหลอก โดยเอาผ้าห่มคลุมโปง หรือเอาหมอนมาตีกัน แล้วเกิดอุบัติเหตุตามมา เช่น เกิดการสะดุดผ้าแล้วหกล้ม หรือหมอนตีถูกดวงตาทำให้ตาอักเสบได้

2. เก้าอี้
เก้าอี้ทุกชนิดเป็นจุดสำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องระวัง เพราะหากเป็นเก้าอี้ไม้ เด็กอาจเดินหรือวิ่งชนสะดุดขาเก้าอี้ และอาจทำให้เก้าอี้ล้มมาทับตัวเองได้ หากเป็นเก้าอี้พลาสติกก็ต้องระวังเด็กปีนขึ้นไปนั่ง แล้วจุดศูนย์ถ่วงไม่ดี ก็ล้มเทลงมาได้ทั้งเด็กทั้งเก้าอี้ อาจทำให้หัวแตกได้

3. กะละมังและถังใส่น้ำ
เคยมีข่าวหลายครั้งว่าเด็กเล็ก ๆ จมน้ำในถังหรือกะละมัง ทั้งที่มีน้ำอยู่ไม่มาก แต่เด็กไม่สามารถพยุงตัวเองขึ้นมานั่งได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะหากเพิ่งหัดคลานหรืออยู่ในระยะตั้งไข่ ทุกครอบครัวจึงต้องเก็บภาชนะเหล่านี้ในที่ปลอดภัย ไม่ให้เด็กไปเล่นใกล้ ๆ โดยเด็ดขาด

4. ช่องเสียบปลั๊กไฟ
ธรรมชาติของเด็กยังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น จึงชอบเอานิ้วไปแหย่ปลั๊กไฟด้วยความสงสัย โดยไม่รู้ว่ามีกระแสไฟฟ้าที่ทำให้ไฟดูดถึงขั้นเสียชีวิตได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเอาเทปหนามาปิดบริเวณช่องเสียบปลั๊กไฟที่อยู่ในระดับต่ำ หรือติดฝาครอบที่เปิดยากสำหรับเด็ก จะป้องกันเหตุการณ์ร้ายแรงจากไฟดูดได้

5. น้ำยาทำความสะอาด
น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า และน้ำยาล้างห้องน้ำมีสารซักฟอกชะล้างคราบสกปรกที่อันตรายต่อเด็กเล็กอย่างมาก จึงควรเก็บไว้ในตู้ที่มิดชิด ปิดฝาขวดหรือมัดถุงให้เรียบร้อยหลายชั้น ไม่ให้เด็กคว้ามาเอาเข้าปากได้

6. พัดลม
พัดลมตั้งพื้นเป็นของใช้ที่มีทุกบ้าน เป็นอีกจุดเสี่ยงที่ต้องระวังเพราะเด็ก ๆ มักสงสัยเวลาใบพัดหมุนว่า ทำไมถึงทำให้ลมเย็นได้ และอยากเอานิ้วจิ้มไปในตัวพัดลม ทำให้นิ้วถูกใบพัดบาดได้ แนะนำว่าควรใช้พัดลมแบบติดผนังหรือใช้พัดลมรุ่นใหม่แบบวงแหวนไม่มีใบพัดแทนจะดีกว่า

ครอบครัวที่มีลูกหลานวัยเล็ก จำเป็นต้องช่างสังเกตและระแวดระวังสิ่งต่าง ๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ ควรถือคติว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ไม่ควรประมาทว่าเป็นของใช้ทั่วไปที่เคยชินกับการใช้งาน เพราะทุกอย่างรอบตัวในสายตาเด็กเล็กล้วนดูแปลกตาและเป็นของเล่นใหม่สำหรับพวกเขาเสมอ

กิจกรรมคลายเครียด เพิ่มไฟให้ตัวเองช่วง work from home

กิจกรรมคลายเครียด เพิ่มไฟให้ตัวเองช่วง work from home

ความเครียดเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุใด วัยเรียนหรือวัยทำงาน ยิ่งยุคนี้เป็นยุค work from home ทำงานอยู่บ้าน เรียนอยู่บ้านในห้องส่วนตัวแคบ ๆ ทุกวัน เห็นมุมเดิม ๆ กิจกรรมเดิม ๆ จนเกิดเป็นความเครียด บางคนหมดไฟไปกับการทำงาน หรือการเรียนออนไลน์ ทุกอย่างดูแย่ไปหมด ในเมื่อไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้ในช่วงนี้ อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเครียดพวกนี้นานเกินไป เรามาจัดการกับความเครียดพวกนี้กันเถอะ!!

วิธีจัดการกับความเครียด ปลุกไฟให้ตัวเองอีกครั้ง

เปลี่ยนมุมเดิม หามุมใหม่
เบื่อมุมเดิมแล้วใช่ไหม ลองหามุมใหม่ดูมั้ย เรียนมุมเดิมหรือทำงานมุมเดิมทุกวันบางทีก็ทำให้เกิดความเครียดได้เหมือนกัน ลองเปลี่ยนมุมทำงานมุมใหม่ในบ้านดู อาจจะดีขึ้น จากที่อยู่ในห้องส่วนตัวแคบ ๆ ลองเปลี่ยนมาเรียนหรือทำงานมุมใหม่ อาจจะเปลี่ยนเป็นมุมใต้ต้นไม้ข้างบ้าน ได้รับลมธรรมชาติ เห็นสีเขียว สีน้ำตาลของต้นไม้เป็นการบำบัดความเครียดไปในตัว

ตกแต่งมุมทำงาน มุมเรียนหนังสือ
ตกแต่งมุมทำงาน มุมเรียนหนังสือ ให้ดูสวยงามสบายตา หาต้นไม้เล็ก ๆ อาจจะเป็นต้น cactus หรือ กระบองเพชรยอดฮิต มาวางไว้บนโต๊ะทำงานทำให้รู้สึกสดชื่น นอกจากนี้ทำบริเวณรอบ ๆ ให้ดูสะอาดสบายตา ปรับทิวทัศน์ให้ดูน่าอยู่มากยิ่งขึ้น เมื่อเราเห็นบรรยากาศก็จะช่วยให้เราอยากที่จะทำงาน หรือ เรียนหนังสือมากขึ้น

เบื่อแล้ว ต้องหา DIY มาช่วย
เมื่อก่อนเสร็จจากการทำงานก็สามารถออกไปเดินเล่นสบาย ๆ ข้างนอกได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะทำงานเสร็จก็ต้องหมกตัวอยู่แต่บ้าน เป็นแบบนี้มาหลายเดือน สะสมความเครียดมาเรื่อย ๆ จนไม่ไหว เป็นแบบนี้ก็แย่เลย ลองหากิจกรรมบางอย่างมาทำดีกว่า กิจกรรม DIY หรือการประดิษฐ์ข้าวของจากสิ่งเหลือใช้ ใช้เวลาพักจากการทำงานหรือเรียนหนังสืออาจจะช่วงเสาร์ อาทิตย์ มาประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้เป็นผลงานชิ้นใหม่ จะทำให้เราเพลิดเพลินและได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เมื่อสร้างผลงานเสร็จก็จะทำให้เราภาคภูมิใจ และก็ลืมความเครียดที่สะสมมาทั้งอาทิตย์เลยล่ะ

วาดรูป ระบายสี
บางคนอาจจะไม่ชอบการประดิษฐ์สิ่งของไม่เป็นไร หากไม่ชอบก็เปลี่ยนมาทำกิจกรรมละเลงสีบนกระดาษกัน สาดความคิดสร้างสรรค์ของเราลงบนกระดาษ วาดมันออกมาจากความคิดของเราเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ชอบศิลปะหรือมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ถึงจะทำกิจกรรมนี้ คนธรรมดาอย่างเราก็ทำได้ ใช้เวลาพักจากการทำงานมาระบายสีวาดรูป วาดอะไรก็ได้ที่อยากวาด ลงสีเท่าที่อยากลง ลองทำดูสิ รับรองว่าเพื่อน ๆ จะลืมความเครียดทั้งหมดไปเลย แถมยังสนุกอีกด้วย

ปลูกต้นไม้
ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ออกไปไหนก็ชวนคนในบ้านมาปลูกต้นไม้กัน การปลูกต้นไม้ทำให้เกิดความเพลิดเพลินไปกับขั้นตอนการปลูก ทำให้รู้สึกมีความสุข และถ้าหากชวนคนในบ้านมาปลูกด้วยก็ยิ่งดีเลย เพราะจะได้ช่วยกัน พูดคุยกัน ทำเกิดความสนิทสนมกับคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ออกกำลังกาย
ตื่นเช้ามารับอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เดินดูบรรยากาศรอบ ๆ บ้านในช่วงเช้า รับแสงแดดยามเช้า ชมต้นไม้ใบหญ้าที่มีร่องรอยของน้ำค้าง มองแล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย เป็นการเพิ่มพลังบวกของเช้าวันใหม่ พร้อมที่จะทำกิจกรรมอื่นต่อไป ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนหรือทำงาน แทนที่จะนั่งเขี่ยหรือนอนเขี่ยโทรศัพท์ เปลี่ยนมาออกกำลังกายข้างนอกบ้าง ให้ร่างกายได้ขับเหงื่อออกมาและปล่อยสารแห่งความสุข ทำให้เราลืมความเครียดไปเลย แถมยังมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย

เป็นอย่างไรบ้างกับกิจกรรมคลายเครียดที่เราแนะนำ ช่วงนี้คงประสบกับปัญหาความเครียดสะสมกันทุกคน เราขอเอาใจช่วยทุกคน เชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แน่นอน อย่าลืมนำกิจกรรมที่เราแนะนำเพื่อน ๆ ไปปรับใช้กับตัวคุณเองด้วย เราขอรับรองว่าจะทำให้คุณหายเครียด แล้วจะมีไฟกลับมา Work from home อีกครั้งอย่างแน่นอน

ซื้อสินค้าด้วยเสียง ฟังก์ชั่นสะดวกซื้อ สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ซื้อสินค้าด้วยเสียง ฟังก์ชั่นสะดวกซื้อ สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

หลายปีที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีคำสั่งเสียงในการค้นหาข้อมูล แผนที่ และสิ่งที่ต้องการผ่านทางมือถือและระบบนำทาง GPS ถึงวันนี้มีฟังก์ชั่นซื้อสินค้าด้วยคำสั่งเสียงเพิ่มเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ ช้อปปิ้งง่ายแม้ว่าจะทำกิจกรรมอย่างอื่นในเวลาเดียวกัน

เทคโนโลยีเสียงมีการพัฒนาต่อยอดขึ้นเรื่อย ๆ จากเทคโนโลยีจดจำเสียง การค้นหาด้วยเสียง และคำสั่งเสียงเพื่อค้นหาสินค้าเป็นเทรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งขยายตัวรวดเร็วในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา การใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นอย่าง Voice Commerce ช่วยให้การซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตคล่องตัวขึ้นมาก ไม่ต้องพิมพ์บนหน้าจอเพื่อค้นหาชื่อผลิตภัณฑ์ แต่สามารถพูดคุยกับแอปพลิเคชันโดยตรงและได้รับผลลัพธ์แบบเดียวกัน แม้ว่าฟีเจอร์สั่งซื้อด้วยเสียงก้าวล้ำทันสมัย แต่ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องพัฒนาต่อไปจนกว่าจะให้ความยืดหยุ่นและคำตอบที่ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น

เทรนด์คำสั่งเสียงกำลังจะมาแรงเพราะประหยัดเวลา เนื่องจากการค้นหาด้วยเสียงเร็วกว่าการพิมพ์ประมาณ 4 เท่า แต่สำหรับเทคโนโลยีในปัจจุบันผลลัพธ์ที่ได้อาจช้ากว่าการพิมพ์ 10 เท่า แต่มีแนวโน้มว่าการสืบค้นจะง่ายขึ้น สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้ลึกและซับซ้อนยิ่งขึ้น แม้ว่าเทคโนโลยีเสียงจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เราเคยเห็น Siri ของ Apple และ Alexa ของ Amazon กันมาแล้ว มีประโยชน์ชัดเจนในแง่ของความสามารถในการโต้ตอบแบบแฮนด์ฟรีและลำโพงอัจฉริยะ แต่ยังมีข้อจำกัดการค้นหาที่มักจะใช้สำหรับงานง่าย ๆ เช่น เล่นเพลง ตรวจสภาพอากาศ และเปิดเว็บเสิร์จเอ็นจิน ซึ่งเทคโนโลยียังต้องก้าวหน้าต่อไปซึ่งเป็นความท้าทายของแบรนด์ค้าปลีกและธุรกิจอีคอมเมิร์ซทุกประเภทที่ต้องตามเทรนด์ให้ทัน

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักว่าเทคโนโลยีเสียงทำงานอย่างไร การค้นหาด้วยเสียงขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) ซึ่งบันทึกและถอดเสียงคำพูดเป็นข้อความและทำตามคำสั่งค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและส่งผลลัพธ์ตามคำเรียก วิธีการค้นหาในปัจจุบันมีข้อจำกัดว่าต้องใช้คำสั่งง่าย ๆ ไม่ให้เกิดความสับสน เช่น “หาปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้” เพื่อให้การค้นหาด้วยเสียงมีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ตามความตั้งใจ

ประโยชน์ของการค้นหาด้วยเสียงทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้น เพียงเปิดใช้งานมือถือหรือคอมพิวเตอร์ก็จับจ่ายซื้อของได้ในทันที การซื้อสินค้าด้วยเสียงทำให้ประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์เป็นส่วนตัวมากขึ้น ช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องพิมพ์ข้อความ ไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้บัญชีส่วนตัวและเพิ่มสินค้าลงในรถเข็นได้จนกว่าจะพร้อมค่อยกดสั่งซื้อในครั้งเดียว

ในขณะที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถรวบรวมข้อมูลความต้องการของผู้ค้นหาเป็นไอเดียพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดให้ก้าวนำหน้าคู่แข่ง ร้านค้าอีคอมเมิร์ซสามารถใช้เทคโนโลยีเสียงเป็นเครื่องมือตรวจสอบการชำระเงิน ผู้ซื้อสบายใจ ผู้ขายได้เงินชัวร์ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่จะดูน่ากังวลในระยะแรกและมีความท้าทายเช่นเดียวกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น วิธีการพูดและภาษาที่ซับซ้อนหรือสำเนียงพูดมีผลต่อการประมวลผล ทำให้ AI ไม่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการซื้ออะไร ทั้งยังต้องใช้งานมือถือสเปกสูงเพื่อเปิดใช้งานการค้นหาด้วยเสียง แต่ในอนาคตผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นจะคุ้นเคยและใช้เป็นเครื่องมือในการช้อปปิ้งที่สะดวกปลอดภัยยิ่งขึ้น

5 วิธี พัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

5 วิธี พัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถ้าคุณกำลังรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ต้องการหาวิธีพัฒนาตัวเองเพื่อให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมทำให้คุณกลายเป็นคนแข็งแกร่งที่สามารถสู้ต่อทุกสถานการณ์ได้ดี ทั้งยังนำพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมและถูกต้อง เข้าใกล้ความสำเร็จได้มากขึ้น ขอแนะนำ 5 วิธีดังต่อไปนี้ ที่จะช่วยทำให้คุณสามารถพัฒนาในทุก ๆ เรื่องของตัวเองได้ดีกว่าเดิม คือ

1.เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้
เริ่มต้นการพัฒนาตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวเองก่อนหน้านี้ใหม่ทั้งหมด ถ้าคุณเป็นคนจับจดหรือมีความขี้เกียจอยู่ในตัวเองสูง ให้เปลี่ยนมาสู่ผู้ที่รักการเรียนรู้ ตื่นเต้นที่จะศึกษาเรื่องราวใหม่ ๆ กระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดเวลา พร้อมตั้งใจที่จะทำงานหรือเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวคุณเองอย่างมุ่งมั่น ควรจัดตารางเวลาให้ถูกต้องทั้งการเรียนหรือการทำงานกับการใช้ชีวิตส่วนตัว แล้วทำอย่างต่อเนื่องตลอด 30 วัน เพียงเท่านี้คุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แบบอัตโนมัติ

2.กล้าที่จะตัดสินใจ
เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ชอบการตัดสินใจหรือกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง ให้คุณเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วกล้าที่จะตัดสินใจในทุก ๆ เรื่องมากขึ้น โดยเริ่มต้นตัดสินใจในเรื่องเล็ก ๆ ที่คุณยังลังเลใจให้ได้ก่อน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก คิดเพียงแค่ว่าสิ่งที่คุณตัดสินใจถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเลือกแล้วก็ทำให้เต็มที่ ถ้าทำได้ไม่ดีก็เพียงแค่เก็บไว้เป็นประสบการณ์แล้วก้าวเดินต่อไป

3.นำประสบการณ์ที่มีมาสอนตัวเอง
นำประสบการณ์ที่คุณได้พบเจอในชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านล้มเหลว มาสู่การเป็นบทเรียนเพื่อสอนตัวเอง ถ้าไปในด้านที่ดีคุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องและสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ แต่ถ้าเป็นด้านที่ไม่ดีหรือผิดพลาดไปแล้ว คุณจะได้เรียนรู้ไว้ว่าไม่ควรทำซ้ำอีกครั้ง ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญต่อผู้ที่ต้องการพัฒนาความสามารถของตัวเองเป็นอย่างมาก

4.จัดเวลาให้เหมาะสม
แม้ว่าการพัฒนาตัวเองจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่คุณควรจัดเวลาในการใช้ชีวิตให้เหมาะสม เพราะมนุษย์ย่อมต้องมีมุมในการพักผ่อนและลดความตึงเครียดของตัวเองลง เพียงแค่คุณจัดเวลาในการพักให้ถูกต้อง คุณก็จะมีพลังพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและต่อสู้กับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตได้ดีมากขึ้น

5.ดึงความสามารถจริงมาใช้
ลองวิเคราะห์ให้ดีว่าตัวคุณนั้นมีความสามารถในด้านใดบ้าง แล้วกระจายออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจดสิ่งที่คุณทำได้ดีไว้บนสมุด แล้ววิเคราะห์ไปเรื่อย ๆ ทีละส่วนว่าความสามารถไหนที่คุณทำได้ดีมากที่สุด จากนั้นดึงเอาความสามารถในอันดับที่ 1 ถึงอันดับที่ 5 มาทดลอง ซึ่งถ้าแบบไหนออกมาดีที่สุด ทำให้คุณมีความสุขและไปต่อได้อย่างสบายใจ นั่นหมายความว่าทางนั้นถูกต้องที่สุดแล้วนั่นเอง

การพัฒนาตัวเองจะช่วยทำให้คุณมีความสุขในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดความรู้สึกท้อแท้จากการใช้ชีวิตที่ผิดพลาดลงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณจึงควรทำตามทั้ง 5 วิธีที่แนะนำไว้ข้างต้น เพื่อทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขต่อไปและเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นอีกด้วย