สาเหตุที่ขอกู้ธนาคารแล้วไม่ผ่าน

สาเหตุที่ขอกู้ธนาคารแล้วไม่ผ่าน

หลายคนอาจเคยประสบปัญหายื่นขอกู้สินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบุคคลไปจนถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และถูกปฏิเสธคำขอกู้สินเชื่อ ซึ่งบ่อยครั้งที่ผู้ให้บริการไม่ได้แจ้งถึงสาเหตุที่กู้ไม่ผ่าน ในบทความนี้เราจะมาไขข้อสงสัยนี้กัน

สาเหตุแท้จริงที่กู้ไม่ผ่านนั้น อยู่ที่เรื่องของเอกสารเป็นหลัก ตัวผู้กู้เองย่อมรู้ดีว่า เอกสารของเราน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ถ้าให้เป็นคะแนนระหว่าง 1 – 10 คุณคิดว่าเอกสารเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือที่ตัวเลขใด เอกสารประกอบการกู้สินเชื่อจะมีความน่าเชื่อถือและอยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่ใช่การไปจ้างใครมาตกแต่งบัญชีให้สวยงาม เพราะแบบนี้ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน

หลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อแทบทุกประเภทจะดูที่ “เงินออม” และ “ความสามารถในการผ่อนชำระ” ถ้าตอบโจทย์ 2 ข้อนี้ผ่าน โอกาสที่สินเชื่อจะผ่านก็มีมากขึ้น ขยายความได้ดังนี้

1. เงินออม
ผู้คนส่วนใหญ่ที่กู้สินเชื่อไม่ผ่าน ก็เพราะไม่มี “วินัยการออม” ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน ลองดู Statement บัญชีรับเงินเดือนของคุณ เป็นแบบนี้หรือเปล่า สิ้นเดือนเงินเดือนเข้า รายการถัด ๆ มาคือ รายการถอนเงินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงปลายเดือนใหม่เงินเดือนเข้า แล้วก็ถอนเงินอย่างต่อเนื่องอีก

คำถามคือ ถอนแล้วไปไหน? หากถอนแล้วไปฝากอีกบัญชี ไปไว้ในประจำ, ไปซื้อกองทุน, ไปเทรดหุ้น แบบนี้ถือว่ามีทั้งการออมและการลงทุน ซึ่งทางธนาคารมักให้คะแนนบวก มีโอกาสกู้ผ่านสูง

แต่ถ้าเจ้าของบัญชี ถอนแล้วไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ ถือว่าเป็นการให้รางวัลตนเอง ไม่เคยเก็บเงินออมเลย แบบนี้ก็ยากแล้ว เพราะไม่มีการออม โอกาสปฏิเสธเรียกว่าเห็นมาแต่ไกล

2. ความสามารถในการผ่อนชำระ
ความสัมพันธ์ระหว่าง “วงเงินกู้” กับ “ระยะเวลากู้” โดยมีตัวแปรคือ “อัตราดอกเบี้ย” จะได้ผลลัพธ์คือ ยอดผ่อนต่อเดือน

ความสามารถในการผ่อนชำระจึงดูที่ Statement บัญชีของคุณ ถ้าคำนวณออกมา ยอดผ่อนเดือนละ 8,000 บาท แต่เงินเฉลี่ยในบัญชีของคุณอยู่ที่ 2,000 บาท หรือ 200 บาทแทบทุกเดือน รับประกันได้เลยว่า “กู้ไม่ผ่านแน่นอน!” เพราะอนุมานได้ว่าในแต่ละเดือนคุณยังไม่พอใช้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อน จริงไหม?

รู้แบบนี้แล้ว คุณจึงต้องวางแผนชีวิตตั้งแต่วันนี้ เพราะสินเชื่อจะพิจารณา Statement ย้อนหลังประมาณ 6 เดือน หรือ 1 รอบบัญชี หากคุณไม่เคยออมก็ต้องเริ่มออม สร้างวินัยการเงินทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเกิดความน่าเชื่อถือในเอกสารประกอบการขอกู้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหลักการเบื้องต้นของการกู้สินเชื่อ รายละเอียดลึก ๆ ต้องไปปรึกษาผู้ให้บริการสินเชื่อ

จงอย่าลืมว่า “ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ แต่ถ้าเกิดต้องเป็นหนี้ ก็ควรเป็นหนี้เท่าที่จำเป็น” ด้วย จึงจะทำให้มีวันที่ปลดหนี้ได้โดยไม่นานเกินไป

กิจกรรมคลายเครียด เพิ่มไฟให้ตัวเองช่วง work from home

กิจกรรมคลายเครียด เพิ่มไฟให้ตัวเองช่วง work from home

ความเครียดเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุใด วัยเรียนหรือวัยทำงาน ยิ่งยุคนี้เป็นยุค work from home ทำงานอยู่บ้าน เรียนอยู่บ้านในห้องส่วนตัวแคบ ๆ ทุกวัน เห็นมุมเดิม ๆ กิจกรรมเดิม ๆ จนเกิดเป็นความเครียด บางคนหมดไฟไปกับการทำงาน หรือการเรียนออนไลน์ ทุกอย่างดูแย่ไปหมด ในเมื่อไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้ในช่วงนี้ อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเครียดพวกนี้นานเกินไป เรามาจัดการกับความเครียดพวกนี้กันเถอะ!!

วิธีจัดการกับความเครียด ปลุกไฟให้ตัวเองอีกครั้ง

เปลี่ยนมุมเดิม หามุมใหม่
เบื่อมุมเดิมแล้วใช่ไหม ลองหามุมใหม่ดูมั้ย เรียนมุมเดิมหรือทำงานมุมเดิมทุกวันบางทีก็ทำให้เกิดความเครียดได้เหมือนกัน ลองเปลี่ยนมุมทำงานมุมใหม่ในบ้านดู อาจจะดีขึ้น จากที่อยู่ในห้องส่วนตัวแคบ ๆ ลองเปลี่ยนมาเรียนหรือทำงานมุมใหม่ อาจจะเปลี่ยนเป็นมุมใต้ต้นไม้ข้างบ้าน ได้รับลมธรรมชาติ เห็นสีเขียว สีน้ำตาลของต้นไม้เป็นการบำบัดความเครียดไปในตัว

ตกแต่งมุมทำงาน มุมเรียนหนังสือ
ตกแต่งมุมทำงาน มุมเรียนหนังสือ ให้ดูสวยงามสบายตา หาต้นไม้เล็ก ๆ อาจจะเป็นต้น cactus หรือ กระบองเพชรยอดฮิต มาวางไว้บนโต๊ะทำงานทำให้รู้สึกสดชื่น นอกจากนี้ทำบริเวณรอบ ๆ ให้ดูสะอาดสบายตา ปรับทิวทัศน์ให้ดูน่าอยู่มากยิ่งขึ้น เมื่อเราเห็นบรรยากาศก็จะช่วยให้เราอยากที่จะทำงาน หรือ เรียนหนังสือมากขึ้น

เบื่อแล้ว ต้องหา DIY มาช่วย
เมื่อก่อนเสร็จจากการทำงานก็สามารถออกไปเดินเล่นสบาย ๆ ข้างนอกได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะทำงานเสร็จก็ต้องหมกตัวอยู่แต่บ้าน เป็นแบบนี้มาหลายเดือน สะสมความเครียดมาเรื่อย ๆ จนไม่ไหว เป็นแบบนี้ก็แย่เลย ลองหากิจกรรมบางอย่างมาทำดีกว่า กิจกรรม DIY หรือการประดิษฐ์ข้าวของจากสิ่งเหลือใช้ ใช้เวลาพักจากการทำงานหรือเรียนหนังสืออาจจะช่วงเสาร์ อาทิตย์ มาประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้เป็นผลงานชิ้นใหม่ จะทำให้เราเพลิดเพลินและได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เมื่อสร้างผลงานเสร็จก็จะทำให้เราภาคภูมิใจ และก็ลืมความเครียดที่สะสมมาทั้งอาทิตย์เลยล่ะ

วาดรูป ระบายสี
บางคนอาจจะไม่ชอบการประดิษฐ์สิ่งของไม่เป็นไร หากไม่ชอบก็เปลี่ยนมาทำกิจกรรมละเลงสีบนกระดาษกัน สาดความคิดสร้างสรรค์ของเราลงบนกระดาษ วาดมันออกมาจากความคิดของเราเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ชอบศิลปะหรือมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ถึงจะทำกิจกรรมนี้ คนธรรมดาอย่างเราก็ทำได้ ใช้เวลาพักจากการทำงานมาระบายสีวาดรูป วาดอะไรก็ได้ที่อยากวาด ลงสีเท่าที่อยากลง ลองทำดูสิ รับรองว่าเพื่อน ๆ จะลืมความเครียดทั้งหมดไปเลย แถมยังสนุกอีกด้วย

ปลูกต้นไม้
ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ออกไปไหนก็ชวนคนในบ้านมาปลูกต้นไม้กัน การปลูกต้นไม้ทำให้เกิดความเพลิดเพลินไปกับขั้นตอนการปลูก ทำให้รู้สึกมีความสุข และถ้าหากชวนคนในบ้านมาปลูกด้วยก็ยิ่งดีเลย เพราะจะได้ช่วยกัน พูดคุยกัน ทำเกิดความสนิทสนมกับคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ออกกำลังกาย
ตื่นเช้ามารับอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายสักหน่อย เดินดูบรรยากาศรอบ ๆ บ้านในช่วงเช้า รับแสงแดดยามเช้า ชมต้นไม้ใบหญ้าที่มีร่องรอยของน้ำค้าง มองแล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย เป็นการเพิ่มพลังบวกของเช้าวันใหม่ พร้อมที่จะทำกิจกรรมอื่นต่อไป ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนหรือทำงาน แทนที่จะนั่งเขี่ยหรือนอนเขี่ยโทรศัพท์ เปลี่ยนมาออกกำลังกายข้างนอกบ้าง ให้ร่างกายได้ขับเหงื่อออกมาและปล่อยสารแห่งความสุข ทำให้เราลืมความเครียดไปเลย แถมยังมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย

เป็นอย่างไรบ้างกับกิจกรรมคลายเครียดที่เราแนะนำ ช่วงนี้คงประสบกับปัญหาความเครียดสะสมกันทุกคน เราขอเอาใจช่วยทุกคน เชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แน่นอน อย่าลืมนำกิจกรรมที่เราแนะนำเพื่อน ๆ ไปปรับใช้กับตัวคุณเองด้วย เราขอรับรองว่าจะทำให้คุณหายเครียด แล้วจะมีไฟกลับมา Work from home อีกครั้งอย่างแน่นอน

ซื้อสินค้าด้วยเสียง ฟังก์ชั่นสะดวกซื้อ สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ซื้อสินค้าด้วยเสียง ฟังก์ชั่นสะดวกซื้อ สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

หลายปีที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีคำสั่งเสียงในการค้นหาข้อมูล แผนที่ และสิ่งที่ต้องการผ่านทางมือถือและระบบนำทาง GPS ถึงวันนี้มีฟังก์ชั่นซื้อสินค้าด้วยคำสั่งเสียงเพิ่มเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ ช้อปปิ้งง่ายแม้ว่าจะทำกิจกรรมอย่างอื่นในเวลาเดียวกัน

เทคโนโลยีเสียงมีการพัฒนาต่อยอดขึ้นเรื่อย ๆ จากเทคโนโลยีจดจำเสียง การค้นหาด้วยเสียง และคำสั่งเสียงเพื่อค้นหาสินค้าเป็นเทรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซซึ่งขยายตัวรวดเร็วในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา การใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นอย่าง Voice Commerce ช่วยให้การซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตคล่องตัวขึ้นมาก ไม่ต้องพิมพ์บนหน้าจอเพื่อค้นหาชื่อผลิตภัณฑ์ แต่สามารถพูดคุยกับแอปพลิเคชันโดยตรงและได้รับผลลัพธ์แบบเดียวกัน แม้ว่าฟีเจอร์สั่งซื้อด้วยเสียงก้าวล้ำทันสมัย แต่ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องพัฒนาต่อไปจนกว่าจะให้ความยืดหยุ่นและคำตอบที่ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น

เทรนด์คำสั่งเสียงกำลังจะมาแรงเพราะประหยัดเวลา เนื่องจากการค้นหาด้วยเสียงเร็วกว่าการพิมพ์ประมาณ 4 เท่า แต่สำหรับเทคโนโลยีในปัจจุบันผลลัพธ์ที่ได้อาจช้ากว่าการพิมพ์ 10 เท่า แต่มีแนวโน้มว่าการสืบค้นจะง่ายขึ้น สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้ลึกและซับซ้อนยิ่งขึ้น แม้ว่าเทคโนโลยีเสียงจะไม่ใช่เรื่องใหม่ เราเคยเห็น Siri ของ Apple และ Alexa ของ Amazon กันมาแล้ว มีประโยชน์ชัดเจนในแง่ของความสามารถในการโต้ตอบแบบแฮนด์ฟรีและลำโพงอัจฉริยะ แต่ยังมีข้อจำกัดการค้นหาที่มักจะใช้สำหรับงานง่าย ๆ เช่น เล่นเพลง ตรวจสภาพอากาศ และเปิดเว็บเสิร์จเอ็นจิน ซึ่งเทคโนโลยียังต้องก้าวหน้าต่อไปซึ่งเป็นความท้าทายของแบรนด์ค้าปลีกและธุรกิจอีคอมเมิร์ซทุกประเภทที่ต้องตามเทรนด์ให้ทัน

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักว่าเทคโนโลยีเสียงทำงานอย่างไร การค้นหาด้วยเสียงขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) ซึ่งบันทึกและถอดเสียงคำพูดเป็นข้อความและทำตามคำสั่งค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องและส่งผลลัพธ์ตามคำเรียก วิธีการค้นหาในปัจจุบันมีข้อจำกัดว่าต้องใช้คำสั่งง่าย ๆ ไม่ให้เกิดความสับสน เช่น “หาปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้” เพื่อให้การค้นหาด้วยเสียงมีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ตามความตั้งใจ

ประโยชน์ของการค้นหาด้วยเสียงทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้น เพียงเปิดใช้งานมือถือหรือคอมพิวเตอร์ก็จับจ่ายซื้อของได้ในทันที การซื้อสินค้าด้วยเสียงทำให้ประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์เป็นส่วนตัวมากขึ้น ช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องพิมพ์ข้อความ ไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้บัญชีส่วนตัวและเพิ่มสินค้าลงในรถเข็นได้จนกว่าจะพร้อมค่อยกดสั่งซื้อในครั้งเดียว

ในขณะที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถรวบรวมข้อมูลความต้องการของผู้ค้นหาเป็นไอเดียพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดให้ก้าวนำหน้าคู่แข่ง ร้านค้าอีคอมเมิร์ซสามารถใช้เทคโนโลยีเสียงเป็นเครื่องมือตรวจสอบการชำระเงิน ผู้ซื้อสบายใจ ผู้ขายได้เงินชัวร์ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่จะดูน่ากังวลในระยะแรกและมีความท้าทายเช่นเดียวกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น วิธีการพูดและภาษาที่ซับซ้อนหรือสำเนียงพูดมีผลต่อการประมวลผล ทำให้ AI ไม่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการซื้ออะไร ทั้งยังต้องใช้งานมือถือสเปกสูงเพื่อเปิดใช้งานการค้นหาด้วยเสียง แต่ในอนาคตผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นจะคุ้นเคยและใช้เป็นเครื่องมือในการช้อปปิ้งที่สะดวกปลอดภัยยิ่งขึ้น

5 วิธี พัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

5 วิธี พัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถ้าคุณกำลังรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ต้องการหาวิธีพัฒนาตัวเองเพื่อให้เก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมทำให้คุณกลายเป็นคนแข็งแกร่งที่สามารถสู้ต่อทุกสถานการณ์ได้ดี ทั้งยังนำพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมและถูกต้อง เข้าใกล้ความสำเร็จได้มากขึ้น ขอแนะนำ 5 วิธีดังต่อไปนี้ ที่จะช่วยทำให้คุณสามารถพัฒนาในทุก ๆ เรื่องของตัวเองได้ดีกว่าเดิม คือ

1.เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้
เริ่มต้นการพัฒนาตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวเองก่อนหน้านี้ใหม่ทั้งหมด ถ้าคุณเป็นคนจับจดหรือมีความขี้เกียจอยู่ในตัวเองสูง ให้เปลี่ยนมาสู่ผู้ที่รักการเรียนรู้ ตื่นเต้นที่จะศึกษาเรื่องราวใหม่ ๆ กระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดเวลา พร้อมตั้งใจที่จะทำงานหรือเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวคุณเองอย่างมุ่งมั่น ควรจัดตารางเวลาให้ถูกต้องทั้งการเรียนหรือการทำงานกับการใช้ชีวิตส่วนตัว แล้วทำอย่างต่อเนื่องตลอด 30 วัน เพียงเท่านี้คุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แบบอัตโนมัติ

2.กล้าที่จะตัดสินใจ
เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ชอบการตัดสินใจหรือกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง ให้คุณเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วกล้าที่จะตัดสินใจในทุก ๆ เรื่องมากขึ้น โดยเริ่มต้นตัดสินใจในเรื่องเล็ก ๆ ที่คุณยังลังเลใจให้ได้ก่อน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก คิดเพียงแค่ว่าสิ่งที่คุณตัดสินใจถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเลือกแล้วก็ทำให้เต็มที่ ถ้าทำได้ไม่ดีก็เพียงแค่เก็บไว้เป็นประสบการณ์แล้วก้าวเดินต่อไป

3.นำประสบการณ์ที่มีมาสอนตัวเอง
นำประสบการณ์ที่คุณได้พบเจอในชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านล้มเหลว มาสู่การเป็นบทเรียนเพื่อสอนตัวเอง ถ้าไปในด้านที่ดีคุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องและสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ แต่ถ้าเป็นด้านที่ไม่ดีหรือผิดพลาดไปแล้ว คุณจะได้เรียนรู้ไว้ว่าไม่ควรทำซ้ำอีกครั้ง ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญต่อผู้ที่ต้องการพัฒนาความสามารถของตัวเองเป็นอย่างมาก

4.จัดเวลาให้เหมาะสม
แม้ว่าการพัฒนาตัวเองจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่คุณควรจัดเวลาในการใช้ชีวิตให้เหมาะสม เพราะมนุษย์ย่อมต้องมีมุมในการพักผ่อนและลดความตึงเครียดของตัวเองลง เพียงแค่คุณจัดเวลาในการพักให้ถูกต้อง คุณก็จะมีพลังพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและต่อสู้กับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตได้ดีมากขึ้น

5.ดึงความสามารถจริงมาใช้
ลองวิเคราะห์ให้ดีว่าตัวคุณนั้นมีความสามารถในด้านใดบ้าง แล้วกระจายออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจดสิ่งที่คุณทำได้ดีไว้บนสมุด แล้ววิเคราะห์ไปเรื่อย ๆ ทีละส่วนว่าความสามารถไหนที่คุณทำได้ดีมากที่สุด จากนั้นดึงเอาความสามารถในอันดับที่ 1 ถึงอันดับที่ 5 มาทดลอง ซึ่งถ้าแบบไหนออกมาดีที่สุด ทำให้คุณมีความสุขและไปต่อได้อย่างสบายใจ นั่นหมายความว่าทางนั้นถูกต้องที่สุดแล้วนั่นเอง

การพัฒนาตัวเองจะช่วยทำให้คุณมีความสุขในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดความรู้สึกท้อแท้จากการใช้ชีวิตที่ผิดพลาดลงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณจึงควรทำตามทั้ง 5 วิธีที่แนะนำไว้ข้างต้น เพื่อทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขต่อไปและเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นอีกด้วย

ไอเดียซื้อของขวัญให้คนรักที่เป็นผู้ชาย

ไอเดียซื้อของขวัญให้คนรักที่เป็นผู้ชาย

การเลือกซื้อของขวัญให้คนรักที่เป็นผู้ชาย เป็นเรื่องที่น่าหนักใจของผู้หญิงหลายคน เพราะผู้ชายมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากผู้หญิง และหากเป็นผู้ชายที่ช่างเลือกก็ยิ่งทำให้ต้องคิดหลายตลบ ว่าควรจะเลือกอะไรดี เราจึงมีไอเดียการเลือกซื้อของขวัญให้คนรักของคุณมาฝากกัน ดังนี้

1. นาฬิกา
ผู้ชายเกือบทุกคนสวมใส่นาฬิกาตลอดเกือบเวลา และผู้ชายส่วนใหญ่จะมีนาฬิกามากกว่า 1 เรือน เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง เช่น นาฬิกาสายโลหะหรือสายหนังสำหรับวันทำงานในออฟฟิศ นาฬิกาแบบสปอร์ตสำหรับวันสบาย ๆ หรือการท่องเที่ยวพักผ่อน หากเป็นคนรักสุขภาพชอบเล่นกีฬา ก็จะมีนาฬิกาที่สามารถตรวจสอบเช็คอัตราการเต้นหัวใจ ความดันโลหิต ฯลฯ และเชื่อมโยงของระบบ GPS ในมือถือได้แบบเรียลไทม์ด้วย คุณจึงควรเลือกนาฬิกาที่เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรักมากที่สุด

2. เสื้อกีฬา
ผู้ชายกับกีฬาฟุตบอลเป็นของคู่กัน ในทีมฟุตบอลต่างประเทศแต่ละทีม จะมีเสื้อที่ออกแบบมาสวยงามมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เช่น ลิเวอร์พูล ฟูแล่ม สเปอร์ ฯลฯ ผู้ชายจำนวนไม่น้อยจึงชอบหาซื้อเสื้อกีฬาลิขสิทธิ์ของแท้สั่งตรงจากต่างประเทศ โดยเป็นทีมที่เขาชื่นชอบมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก โดยเฉพาะรุ่น Limited Edition ที่ต้องมีการจองล่วงหน้า หรือมีการประมูลมา เขาจะยิ่งประทับใจมาก หากคนรักซื้อให้ มั่นใจได้ว่าจะเป็นอีกหนึ่งของรักของหวงที่เขาจดจำไม่มีลืม พร้อมใส่เชียร์บอลพรุ่งนี้กับเพื่อนๆได้อย่างสนุกสนาน

3. น้ำหอม
น้ำหอมสำหรับผู้ชายเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างบุคลิก ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ น้ำหอมผู้ชายมีกลิ่นและดีไซน์บรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างจากผู้หญิง การเลือกซื้อน้ำหอมให้คนรักจึงเป็นเรื่องยากไม่น้อย หากผู้หญิงต้องการเลือกให้คนรักจึงต้องสังเกตดูว่าน้ำหอมที่เขาใช้อยู่ปกตินั้นเป็นแบรนด์ใด กลิ่นแบบไหน จะทำให้เลือกน้ำหอมได้ถูกใจคนรักยิ่งขึ้น

4. อุปกรณ์ไอที
ผู้ชายเป็นเพศที่ชื่นชอบความทันสมัยและเทคโนโลยีเป็นทุนเดิม อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับไอที ไม่ว่าจะเป็นเกม หูฟังไร้สาย คีย์บอร์ดสำหรับเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต เพื่อการทำงานได้ทุกสถานที่ เม้าส์ดีไซน์เก๋ ไมโครโฟนคุณภาพสูงสำหรับตัดเสียงรบกวน ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งของที่ผู้ชายเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ชื่นชอบ เพียงเลือกแบรนด์ที่มีคุณภาพดีและมีดีไซน์ที่สวยงาม ก็มั่นใจได้ว่าจะเป็นของขวัญที่ถูกใจและถูกหยิบมาใช้บ่อยตลอดปี

ของขวัญสำหรับคนรักที่เป็นผู้ชายนั้น ควรเลือกจากไลฟ์สไตล์และดีไซน์ที่คนรักของคุณชื่นชอบเป็นหลัก คุณทั้งคู่อาจเลือกซื้อหาด้วยกันในโอกาสสำคัญก็ได้ สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลในเรื่องของราคาสินค้ามากเกินไป เพราะคุณค่าไม่ได้อยู่ที่ราคาถูกหรือแพง แต่อยู่ที่ความตั้งใจในการมอบให้คนที่รัก

การจารใบลาน มรดกทางภูมิปัญญาของชาวล้านนา

การจารใบลาน มรดกทางภูมิปัญญาของชาวล้านนา

ใครที่ได้มีโอกาสไปทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัด อาจจะเคยเห็นคัมภีร์ใบลานที่พระท่านถือเวลาเทศนาให้กับญาติโยมได้รับฟังกันในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา แต่เคยสงสัยกันไหมว่าใบลานเหล่านี้มาจากไหน และมีความเป็นมาอย่างไร ไม่รอช้าวันนี้เราได้ไปเสาะหาเรื่องราวที่น่าสนใจของใบลาน และการจารใบลาน ซึ่งเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาวล้านนามาฝากกัน

ใบลาน ได้จากต้นลาน ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ดึกดำบรรพ์ และเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวในตระกูลปาล์ม ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนและอเมริกา ถือเป็นไม้เศรษฐกิจของไทย ด้วยประโยชน์ที่ได้รับจากส่วนต่าง ๆ ทั้งด้านอุปโภคและบริโภค เรียกว่าสามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่ยอดไปจนถึงรากเลยทีเดียว

เช่น ยอดใบลาน ใช้ทำเป็นหนังสือเรียกว่าว่า “คัมภีร์ใบลาน” การ์ด นามบัตร ที่คั่นหนังสือ ตลอดจนผลิตภัณฑ์จักสาน จำพวก พัด หมวกงอบ เสื่อ กระเป๋า โมบายรูปสัตว์ การ์ด และนามบัตรต่าง ๆ เป็นต้น

จากข้อมูลประวัติศาสตร์พบว่า การจารหนังสือบนใบลาน เริ่มขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย ต่อมาเทคนิควิธีและแนวคิดนี้ได้แพร่หลายไปพร้อมกับความเจริญของพระพุทธศาสนาในหลายประเทศแถบเอเซีย ส่วนใหญ่นิยมจารใบลานเกี่ยวกับพระธรรม คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก และเนื้อหาของรามเกียรติ์ โดยอักษรที่ใช้ ได้แก่ อักษรธรรมล้านนา ภาษาบาลี และอักษรขอม

ในประเทศไทย การจารใบลานถือเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมจังหวัด แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน ในสมัยนั้น ซึ่งแบ่งตัวอักษรสำหรับใช้งานเป็น 2 ลักษณะได้แก่ “อักษรฝักขาม” นิยมใช้เขียนบันทึกและวรรณคดีทางโลก ส่วนอักษร “อักษรธรรมล้านนา” นิยมใช้บันทึกหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา โดยมีขั้นตอนการทำหนังสือใบลานแบบดั้งเดิมดังนี้

1.เตรียมใบลาน ด้วยการทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า จากนั้นนำมาผึ่งแดด ตากน้ำค้างทิ้งไว้ประมาณ 4 คืน นำไป ต้มด้วยน้ำซาวข้าวเพื่อให้ขาวและอ่อนตัว เสร็จแล้วนำขึ้นผึ่งแดด ตากน้ำค้างอีก 2 แดด (โบราณนิยมทำในฤดูหนาว เพราะไม่มีน้ำค้าง) เมื่อใบลานนิ่มแล้วดึงเอาก้านออก ม้วนเหมือนกระดาษทิชชู เพื่อให้ใบลาน เหยียดตรง นำใบลานที่เตรียมไว้มาแทงด้วยเหล็กร้อนให้เกิดรู 2 ข้าง เว้นระยะให้เท่า ๆ กัน จากนั้นนำก้านลานมาร้อยซ้อนกันจนได้มัดใบลานที่ขนาดพอเหมาะ นำท่อนไม้ขนาดใหญ่วางทับไว้ 4-5 วัน จนแห้งสนิท ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏ ณ หอสมุดแห่งชาติ พบว่าใบลานจัดเป็นวัสดุที่มีความคงทนและเก็บรักษาได้นับร้อยปี

2.การจารใบลาน ใช้เหล็กจารเขียน หรือเรียกกันเป็นสามัญว่า “จาร” ตัวหนังสือให้เป็นรอยลึกลงในเนื้อลาน รูปอักษรที่เขียนด้วยวิธีจารเรียกว่า “เส้นจาร” เริ่มจากการตีเส้นโดนใช้เส้นด้ายเหนียว ขึงบนกรอบรูปไม้4เหลี่ยมผืนผ้า ใช้เป็นเส้นบรรทัดตามจำนวนที่ต้องการ จากนั้นผสมเขม่าไฟกับน้ำให้ข้น แล้วนำลูกประคบไปชุบและลูบไปตามเส้นด้าย วางกรอบลงบนใบลานที่จะจาร แล้วดึงเส้นด้ายออกทีละเส้น ดีดเขม่าลงบนใบลาน เพื่อกำหนดเส้นบรรทัด วางลงบนสนับรองจาร เมื่อจารเสร็จใช้ลูกประคบจุ่มเขม่าไฟผสมน้ำมันยาง ปาดเบา ๆ ไปบนตัวอักษรที่จารไว้ แล้วจึงค่อยใช้ทรายละเอียดขัดเบา ๆ เป็นวงกลมเพื่อให้น้ำมันยางและเขม่าหลุดออก เหลือไว้แต่ตัวอักษร

3. การเข้าผูก นำหนังสือใบลานที่เรียงลำดับอังกาบ ตามตัวเลขและอักษรที่ระบุไว้ ให้ได้ 24 ลาน จึงเรียกว่า 1 ผูก โดยเรียงใบลานเปล่าไว้ทั้งด้านหน้า และหลัง เช่นเดียวกับปกหนังสือ จากนั้นใช้ด้ายผูกร้อยในรูที่เจาะไว้ เรียกว่า “สายสนอง” นิยมร้อยไว้เฉพาะด้านซ้าย เพื่อความสะดวกในการเปิดอ่าน

ในอดีต คัมภีร์ใบลานเป็นการแสดงฝีมือในเชิงช่างของแต่ละชุมชน ไว้บนแผ่นไม้ที่ใช้ประกบคัมภีร์ใบลาน ด้วยการลงรักปิดทอง ฝังมุก หรือประดับกระจกด้วยเทคนิคโบราณ แล้วห่อด้วยผ้าทอพิมพ์ลาย ผ้าปัก ที่สวยงามประณีต เพื่อป้องกันการชำรุดเสียหาย

การจารใบลาน นับเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาวล้านนาที่น่าภาคภูมิใจอีกชิ้นหนึ่ง เพราะนอกจากประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนาแล้ว การจารใบลานยังมีคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความประณีต สะท้อนถึงภูมิปัญญาและความรักความศรัทธาของบรรพชนที่ต้องการช่วยกันสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป

3 สิ่งที่ควรรู้ การค้นหาตัวเองเพื่อความสุขในชีวิต

3 สิ่งที่ควรรู้ การค้นหาตัวเองเพื่อความสุขในชีวิต

การค้นหาตัวเอง คือ การต้องการทราบว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร มีจุดอ่อนและจุดแข็งตรงไหน บางคนอายุ 40 – 60 ปี ไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าตัวเองถนัด ชอบหรืออยากทำอะไร ด้วยเหตุนี้ เราจึงมี 3 สิ่งที่ควรรู้ ในการค้นหาตัวเองเพื่อให้ได้ทำสิ่งที่รัก จะได้มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งมีอะไรบ้าง มาดูกัน

1. ไม่ปล่อยชีวิตตามกระแสรอบข้าง
เมื่อมีความกล้าหาญ ไม่ปล่อยให้ชีวิตไปตามกระแสรอบข้างหรือฝืนทำในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ชอบหรือมีความถนัด เพื่อเลือกในสิ่งที่ตัวเองรักจริง ๆ ว่าอยากทำอะไร ก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขในระยะยาว เนื่องจากทำสิ่งนั้นได้ดีและนำไปสู่ความสำเร็จอีกด้วย

2. เชื่อในเรื่องพรสวรรค์และพรแสวง
ความเชื่อในเรื่องพรแสวง มีบางคนบอกว่า ถ้าคุณทุ่มเททำอะไรอย่างจริงจังหรือเต็มที่เป็นเวลา 10,000 ชั่วโมง ก็จะทำให้เชี่ยวชาญหรือเก่งเรื่องนั้น แต่ในความเป็นจริงมีจุดแนวร่วมประสานกันอยู่ คือ นอกจากจะมีการฝึกฝนเรื่องพรแสวงแล้ว ก็ต้องมีพรสวรรค์ด้วย ยกตัวอย่างเช่น BEETHOVEN ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ยังไม่ได้สะสมชั่วโมงการแต่งเพลงก็สามารถแต่งโน้ตเพลงได้มากมายจนโด่งดัง ลักษณะเช่นนี้เป็นพรสวรรค์ ซึ่งคนทั่วไปมักจะมีพรสวรรค์ในบางเรื่องอยู่ในระดับหนึ่งเช่นเดียวกันอยู่แล้ว หากได้ฝึกฝนต่อก็จะทำให้ทำสิ่งนั้นดีเยี่ยม เพราะฉะนั้น ไม่ควรปฏิเสธด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือพรแสวง

3. มี HERO ในดวงใจ
การที่จะมีแรงบันดาลใจอยากจะทำสิ่งที่รักนั้น โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการเห็น HERO ในดวงใจ เช่น เด็กที่ชอบดูฟุตบอลแล้วได้เห็นนักฟุตบอลที่เก่งมาก ทำให้ชอบคนนี้เป็นพิเศษ จึงเกิดความรู้สึกว่า อยากจะเป็นนักฟุตบอล ความรู้สึกนี้บางทีเกิดมาชั่ววูบ 1 – 3 เดือน แล้วเลิกไป บางคนก็เกิดความรู้สึกยาวนานแล้วได้ทำตามนั้นจริง แต่คนที่ทำตาม HERO มักพบว่าเป็นคนส่วนน้อย เนื่องจากระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย ไม่ว่าจะเป็น การเรียนมัธยมต้น มัธยมปลายแล้วต้องเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อให้จบปริญญาตรี เมื่อจบแล้วต้องหางานทำให้ได้ก่อนเพื่อให้มีเงินเดือนใช้ จะได้มีความมั่นคงในชีวิต ทำให้เกิดความคิดว่าถ้าจะทำอย่างที่หัวใจเรียกร้องด้วยการตาม HERO ที่ชื่นชอบ ก็คงเสี่ยงเกินไป แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินรอยตาม HERO ในดวงใจ อาจจะไม่ได้ทุกเรื่อง แต่ก็สามารถทำได้ในบางเรื่อง เช่น นำแนวคิดและทัศนคติที่ดีของบุคคลต้นแบบที่ชื่นชอบมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์

3 สิ่งที่ควรรู้ในการค้นหาตัวเองเพื่อได้ทำสิ่งที่รักดังกล่าวข้างต้น บางคนบอกว่าเป็นเรื่องอุดมคติหรือพูดเล่น ๆ ได้ ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากบางคนได้ทำงาน 3 – 10 ปีแล้ว จะให้มาเปลี่ยนวิถีชีวิตตอนนี้แล้วเริ่มเรียนรู้และทำสิ่งใหม่ ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้ บางคนมีครอบครัวและมีลูกแล้ว จะให้วางมือจากงานที่ทำปัจจุบันเพื่อศึกษาการทำสิ่งที่รัก ก็คงคิดหนักเลยทีเดียว หากไม่กล้าลงมือทำ ได้แต่พูดคุย สุดท้ายก็ดำเนินชีวิตไปตามแบบเก่าหรือทำงานเดิมนั่นเอง ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่ก็มีบางคนที่กล้าเปลี่ยนแปลงมาทำสิ่งที่ตนถนัดและชื่นชอบ ก็เป็นหนทางใหม่ที่อย่างน้อยก็มีความสุขและพอใจในการทำงานทุกวัน ส่วนจะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั้น ไม่มีใครตอบได้ นอกจากตัวคุณเอง

เทคนิคการสร้างความผูกพันของพนักงาน ที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน

เทคนิคการสร้างความผูกพันของพนักงาน ที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน

พนักงานถือว่าเป็นทรัพยากรอันดับหนึ่งขององค์กรที่เป็นหลักประกันในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ ซึ่งลักษณะของพนักงานมี 2 แบบ คือ แบบที่หนึ่ง พนักงานที่มีความปรารถนาที่จะทำงานให้กับองค์กรด้วยการทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์และไม่คิดจะลาออกไปไหน แต่ไม่คิดจะพัฒนาองค์กรให้มีความก้าวหน้าต่อไป ซึ่งแตกต่างกับแบบที่สอง พนักงานที่มีความผูกพัน จนมีความทุ่มเท มุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรให้มีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จโดยไม่คำนึงถึงความลำบากของตัวเอง เราจึงมีผลสำรวจ ตัวอย่างพร้อมเทคนิคการสร้างความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กรแบบซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ดังต่อไปนี้

ผลสำรวจความผูกพันที่พนักงานมีต่อองค์กร

การสำรวจ 140 ประเทศ จากพนักงาน 150,000 คน มีพนักงานเพียง 13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่มีความผูกพันต่อองค์กร และพนักงาน 63 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่มีความผูกพันต่อองค์กร ส่วนพนักงานที่เหลืออีก 24 เปอร์เซ็นต์ เป็นพนักงานที่ชอบเผยแพร่ความคิดในแง่ลบเพราะไม่มีความรักต่อองค์กรเลย ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีความสุขในการทำงาน

ตัวอย่าง องค์กรที่พนักงานมีความผูกพันแบบซื้อไม่ได้ด้วยเงิน

บริษัท องค์กร ห้างร้าน ราชการหรืออื่น ๆ ล้วนต้องการพนักงานที่มีความจงรักภักดี ทุ่มเทอุทิศตน เพื่อที่จะได้มีความเติบโตและขยายกิจการ เช่น การเติบโตของกูเกิ้ลซึ่งเป็นบริษัทที่มีการขยายกิจการอย่างกว้างขวาง จนมูลค่าหุ้นของบริษัทประมาณ 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเท่ากับ GDP ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นบริษัทที่ไม่ใช่เฉพาะหาข้อมูลอย่างเดียว แต่ยังมีแผนที่ดูโลกทั้งใบ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือสถานที่ตรงไหนก็ตาม และยังสามารถนำรถติดกล้องแล้ววิ่งถ่ายภาพเก็บไปทั่ว สามารถดูวิวของพื้นที่ในเมืองแต่ละแห่ง นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดกูเกิ้ลเป็นล้านเล่มทั่วโลก จุดประสงค์ให้ผู้คนค้นดูได้ในห้องสมุดออนไลน์ รวมถึงยังจะให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรูปแบบ Wi-Fi ในราคาถูกให้กับผู้คน 3,000 ล้านคนในโลก ไม่ว่าจะอยู่ชนบทก็ตาม เนื่องจากได้ข่าวว่ากูเกิ้ลซื้อดาวเทียม 180 ดวง ไปกุมพื้นที่โลกเป็นจำนวนเงิน 90,000 กว่าล้านบาท

การที่ Google ประสบความสำเร็จเริ่มจาก Search Engine ค้นอะไรก็เจอไปหมด บอล เกม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ วิธีทำอาหาร จนต่อมาประสบความสำเร็จกับ playstore ในมือถือแอนดรอย การให้บริการของกูเกิ้ลทำให้ผู้ใช้คาดไม่ถึงว่าจะให้ได้ขนาดนี้ เหตุผลก็เพราะว่ากูเกิ้ลสามารถทำให้พนักงาน มีความรักและมีไฟในการทำงาน ด้วยการให้ความสะดวกได้อย่างเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหารที่เลี้ยงฟรี นอนที่เก้าอี้นอนโดยมีที่คลุมศีรษะเพื่อไม่ให้มีการรบกวนของแสงและเสียงของคนอื่น อาบน้ำในเวลาไหนก็ได้ นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำ ลานโบวิ่ง สนามเปตอง โรงยิม สิ่งเหล่านี้เป็นการเอาใจพนักงานให้มีความรู้สึกเหมือนบ้านแบบไม่ต้องไปไหนเลย รวมถึงให้พนักงานทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน เพื่อที่จะให้เวลาพิเศษ 1 วัน ว่าอยากทำอะไร

ด้วยการรวมกลุ่มกันสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ หากมีแนวความคิดที่ดีและประสบความสำเร็จ จากพนักงานธรรมดาก็มีสิทธิ์กลายเป็นผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นได้ เมื่อบริษัทให้พนักงานอย่างยุติธรรมทำให้มีบัณฑิตที่จบใหม่แห่มาสมัครประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้บริษัทอื่น ๆ แม้กระทั่งบริษัท ไมโครซอฟท์ ยังไม่เทียบเท่าเลย จึงต้องรอบริษัทกูเกิ้ลรับไปก่อน หากคนสมัครเหลือ บริษัทอื่นค่อยมารับส่วนที่เหลือ

เทคนิคการสร้างความผูกพันของพนักงาน

คัดเลือกพนักงานให้เหมาะสมกับองค์กรในการสร้างทีมทำงานด้วยกัน โดยเฉพาะผู้บริหารหรือผู้จัดการ เพราะจากการวิจัยได้กล่าวว่า ผู้บริหาร 1 คนที่ไม่ทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่จะส่งผลให้พนักงานอีก 3 คนไม่ทุ่มเทในการทำงานเช่นเดียวกัน

เปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้จุดแข็งในการทำงาน เนื่องจากเมื่อได้ให้พนักงานทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ก็จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีออกมาได้ นอกจากนี้เปิดโอกาสให้พนักงานมีอิสระทางความคิดและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ก็จะทำให้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมจนอยากพัฒนาให้บริษัทให้มีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ เช่น การทำเป้าหมาย วัตถุประสงค์ขององค์กรหรือต้องการปรับปรุงองค์กรให้ดีขึ้นอย่างไรบ้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นการสื่อสาร 2 ทาง จึงเป็นเหตุผลทำให้พนักงานเกิดภาคภูมิใจในตัวเอง ทำงานอย่างมีความสุขและรักองค์กรมากขึ้น

สนับสนุนและชี้แนวทางความก้าวหน้าให้กับพนักงานด้วยการดูแลผลงานของพนักงานแต่ละคนว่าสามารถเติมเต็มให้สมบูรณ์มากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในระดับไหนก็ตาม เพราะทุกคนก็ล้วนต้องการความสำเร็จในสายงานของตัวเอง

การสร้างบรรยากาศให้มีความผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียด อาจจะมีนโยบายการเสริมสร้างสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย อยู่ดีกินดี รวมไปถึงความปลอดภัยต่อการปฏิบัติงาน จะได้มีความคิดสร้างสรรค์ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การสำรวจทั้งโลกจากจำนวนล้านคน ได้ข้อสรุปพบว่า เงื่อนไขสำคัญ คือ การสร้างหัวใจที่มีไฟพร้อมทุ่มเทการทำงาน ส่วนเรื่องเงินยังถือว่าเป็นเงื่อนไขรอง เพราะฉะนั้น จะดีไม่น้อยเลยหากองค์กรต่าง ๆ จะได้นำเทคนิคการสร้างความผูกพันของพนักงานที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินจากที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้นไปปรับใช้ เพื่อความสำเร็จขององค์กร

How to วิธีจัดการกับนิสัยอันตราย ป้องกันความล้มเหลวในชีวิต

How to วิธีจัดการกับนิสัยอันตราย ป้องกันความล้มเหลวในชีวิต

นิสัยดีจะนำพาความสุขและความสำเร็จในชีวิต ในทางตรงข้ามหากมีนิสัยไม่ดีหรือที่เรียกว่า นิสัยอันตราย สะสมมาก ๆ ก็จะนำพาไปสู่ความล้มเหลว ไม่ก้าวหน้าหรือไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะเปรียบเสมือนการสะสมสารพิษในร่างกาย เมื่อมีปริมาณมากพอก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ คนเราจึงควรสำรวจตัวเองว่ามีนิสัยอันตรายหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมี How to วิธีจัดการกับนิสัยอันตรายเพื่อป้องกันความล้มเหลวในชีวิต ดังต่อไปนี้

วิธีจัดการกับนิสัยอันตราย

รู้จักคุณค่าของเวลามากขึ้น

นักธุรกิจท่านหนึ่ง ชื่อ Mr.Richard Branson ได้กล่าวไว้ว่า นักลงทุนทางการเงินที่ประสบความสำเร็จ จะทราบว่าเวลามีคุณค่ามากกว่าเงินเสียอีก หากใครที่มีนิสัยอันตรายที่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่เพื่อสร้างสรรค์อะไรให้กับตัวเอง คนในครอบครัวและสิ่งแวดล้อมรอบตัว จึงควรเปลี่ยนนิสัยเสียใหม่ด้วยการเริ่มต้นคิดว่าเวลามีประโยชน์ในการพัฒนาตัวเอง สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ อย่างมากมายจนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

การขจัดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง

การทำงานไปเรื่อย ๆ ด้วยการคิดว่า ยังไม่อยากทำงานตอนนี้ พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ เมื่อมาถึงวันที่กำหนดส่งงานก็รีบทำ ทำให้งานคั่งค้างกลายเป็นดินพอกหางหมูหรืองานที่ได้ส่งไปไม่มีประสิทธิภาพ จึงควรกำจัดนิสัยอันตรายในลักษณะนี้ คือ ให้คิดถึงความตายบ่อย ๆ ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างจำกัด พร้อมคิดว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาได้ทำสิ่งดี ๆ ในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าการคิดถึงความตายเหมือนจะเป็นความคิดที่แรงแต่ก็ทำให้มีกำลังใจในการทำงานให้เสร็จและมีคุณภาพตามที่ได้ตั้งไว้

ขจัดนิสัยไม่รู้ร้อน

คนที่มีนิสัยไม่สนใจสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือสังคมจะเปลี่ยนไปแล้วขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่รู้สึกว่าจะเดือดร้อนอะไร ทำให้ใช้ชีวิตแบบเดิมหรือทำงานแบบเดิม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนิสัยอันตรายเพราะหากไม่เปลี่ยนแปลงถือว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลองหรือมีชีวิตอยู่กับที่ และถ้าได้สังเกตคนรอบตัว ก็จะพบว่าเขาพัฒนากันไปหมดแล้ว วิธีแก้ไขนิสัยอันตรายในลักษณะนี้ คือ ให้มีการปรับปรุงด้วยการรับรู้ความเป็นไปของสังคม และเข้าหาสังคมสมัยใหม่เพื่อให้ชีวิตได้พัฒนาและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขจัดนิสัยความกลัว

หากมีนิสัยมีความกลัวทุกครั้งเวลาที่จะทำอะไร ก็จะเป็นการปิดกั้นโอกาสความสำเร็จได้ เช่น มีความคิดว่า ตัวเองไม่มีความรู้และความสามารถในการลงทุนเพราะกลัวประสบความล้มเหลวจึงไม่ได้ลองทำธุรกิจสักที เพราะฉะนั้น ให้ชนะนิสัยความกลัวด้วยการยอมรับว่ากลัวอะไร แล้วก้าวข้ามด้วยการลงมือทำทั้ง ๆ ที่กลัว เปรียบเสมือนเด็กตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน ช่วงแรก ๆ ก็จะหกล้มบ่อยแต่ก็ไม่ยอมแพ้และเอาชนะความกลัวด้วยการหัดเดินเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เดินได้

นิสัยอันตรายดังกล่าวข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีนิสัยอันตรายอีกหลายอย่างที่นำพาความล้มเหลว เช่น ชอบแก้ตัวเป็นประจำด้วยการหาเหตุผลต่าง ๆ มาอ้างซึ่งบ่งบอกว่าไม่พร้อมพัฒนาตัวเอง นิสัยอวดดีอวดเก่งทั้งที่ไม่เก่งอย่างที่พูดไว้ การทำตัวเหนือกว่าคนอื่น นิสัยโลเลทำให้ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ใครพูดอะไรมาก็ไปตามกระแสหรือแคร์ไปหมด ทั้งที่ตัวเองทำถูกแล้ว นิสัยอิจฉาริษยาหรือรู้สึกทนไม่ได้เมื่อเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง เป็นต้น ดังนั้น ควรรู้เท่าทันนิสัยอันตรายของตัวเองเพื่อจะได้เลิกนิสัยนั้น คงเหลือแต่นิสัยที่นำไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเอง

วิธีจัดการกับนิสัยอันตราย

การรักษาสมดุลชีวิตสำคัญอย่างไร

ในแต่ละวัน คนเรามีบทบาทหน้าที่ที่ต้องทำอยู่หลากหลายด้าน ซึ่งจำเป็นจะต้องแบ่งเวลาในการรับผิดชอบอย่างเหมาะสม จึงจะทำให้ชีวิตมีสมดุลที่ดี ทั้งในด้านการงาน การเงิน ครอบครัว รวมถึง ยังทำให้มีเวลาสำหรับตัวเองในการผ่อนคลายและทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ เพื่อเสริมสร้างความสุขในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

การรักษาสมดุลที่ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำไว้ให้ทุกคนใส่ใจที่จะแบ่งเวลาและให้ความสำคัญอย่างเหมาะสม ได้แก่

1. ด้านการงาน

การทำงานที่รัก เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เพิ่มพูนทักษะความสามารถของตนเองและมีความภาคภูมิใจในตนเองอยู่เสมอ ผู้ที่มีความสุขกับการทำงานอย่างแท้จริง มักเกิดจากการได้ทำงานที่ชื่นชอบและมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม และหากเป็นงานที่มีผลดีต่อสังคม เช่น ช่วยในการลดโลกร้อน ลดขยะพลาสติก ฯลฯ ก็จะยิ่งทำให้มีพลังบวกในการทำงานที่ดียิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ

2. ด้านสุขภาพ

สุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้การขับเคลื่อนงานหรือการประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นไปได้อย่างราบรื่น การใส่ใจสุขภาพด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารฮอร์โมนแห่งความสุข ที่จะช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างปกติ จึงลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตในระยะยาว

3. ด้านการเงิน

เมื่อได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนจากการทำงาน ควรรู้วิธีในการบริหารจัดการเงินที่เหมาะสม โดยยึดหลักเก็บออมก่อนใช้จ่าย ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้จ่ายเกินตัว และหากต้องการสร้างความร่ำรวยด้วยการลงทุน ก็ต้องศึกษาประเภทการลงทุนที่เหมาะสมและมีความเสี่ยงในระดับที่รับได้ เพื่อป้องกันปัญหาการขาดทุนหรือสภาพคล่องติดลบ ทำให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน จนไม่สามารถชำระค่าใช้จ่ายได้หมด

4. ด้านความสัมพันธ์

คนเราต้องมีครอบครัว พ่อแม่ บุตรหลาน รวมถึงเพื่อนฝูง ที่ต้องหมั่นดูแลซึ่งกันและกัน มีการสอบถามสารทุกข์สุขดิบอยู่เสมอ ผู้ที่ให้ความสำคัญในเรื่องงานมากเกินไปจนละเลยการดูแลสมาชิกในครอบครัว จะทำให้เกิดภาวะตึงเครียดและทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเปราะบาง เกิดความขัดแย้งและไม่ลงรอยกันได้ง่าย จึงทำให้ความสุขในชีวิตขาดหายไป

จะเห็นได้ว่า การรักษาสมดุลในชีวิตทั้ง 4 ด้านที่กล่าวมา เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตประจำวันของทุกคน หากมีการละเลยหรือทุ่มเทกับด้านใดมากกว่าปกติ ก็จะทำให้เกิดปัญหาตามมาในระยะยาว หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านได้สำรวจตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อปรับสมดุลในชีวิตประจำวันให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

การรักษาสมดุลชีวิตสำคัญอย่างไร